30 พฤศจิกายน 2548 19:50 น.

วันลา..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song492.html
(รักอย่ารู้คลาย)
...........
คืนนี้ฟ้าหมองดาวกำลังร้องไห้
และ..
อีกครา..
ที่ผม..เดินดายเดียวเดียวดาย
อย่างสิ้นไร้แรงใจ
เมื่อ..
 ใครบางคนในดวงใจกำลังโบกมือลา
กำลังเหินฟ้าราวนกไพร 
สู่แดนดินดินแดนแสนไกล.. คนละปลายฟ้า..


ผม..แหงนเงยมองฟากฟ้า...ที่แสนกว้าง
ที่ไยยามนี้..
ยิ่งแสนดูเหว่ว้าอ้างว้างมืดหมองหม่นมัว
ในท่ามม่านน้ำตาซึมพร่าสลัวเลือนลาง
อย่างเพียรซ่อนหยาดน้ำตา
ที่..
กำลังหยาดสายพรายพรมพรำ
ดั่งสายฝน
ที่กำลังตกต้องตอกย้ำให้แสนเศร้าช้ำตรม
ในดวงใจ...
อย่างเข้าใจและ..ยอมรับความทุกข์ทน

กมลผม..ดวงละมุน
กำลังสอนให้ได้รับบทเรียน
รานโศกที่โลกกำลังหมุนหยิบยื่นมาให้
จนพาให้โลกกลายสี ในนาทีนี้ ...


นาที..ที่...
โลกหล้ามีเพียงสีเดียว..
 สีน้ำเงิน...สีน้ำเงิน  สีน้ำเงิน ..และสีน้ำเงิน..สิ้นไร้งาม!

และ..
นี่คือนิยามเศร้า แสนหนาวเหน็บใจ
แห่งการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก จากคนที่รัก
ที่..
นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว...
ให้ดวงใจผม
ที่มีเลือดเนื้อล้วนๆ
แสนทุกข์เทวษ..จนชินชา จนชาชิน...

กับ..
รอยรัก รอยอาลัยถวิล ห่วงใย ในดวงใจ
ที่...คงไม่มีวันจางรอย..
และ
ที่..คงจำต้องเฝ้าคอย..คอย...คอย..ไปตราบชั่วกาล...!!!!
...............



ดึกดื่นดายเดียวกับเสี้ยวจันทร์
ฟังเพลงรักนิรันดร์ฝันคว้างร้างแรมขวัญ
คิดถึงคนดีเราเคยมีกันและกัน
แสนโศกศัลย์วันหนาวเจ้าแรมไกล

น้ำตาเอ๋ยซ่อนไว้อย่าให้เห็น
ร้อนหรือเย็นทุกข์ท้อยังรอไหว
ขอกระซิบเพียงคำฝากนะดวงใจ
เดือนแทนใจดาวแทนรักหนักแน่นรอ

วันเวลาลมหายใจช่างแสนสั้น
รอคืนวันได้พบเธอถึงทุกข์ท้อ
ถึงไกลห่างขอบฟ้ากว้างภาวนารอ
และไม่ขออะไรไปกว่านี้

ให้คืนกลับรับขวัญวันแสนหวาน
ดอกไม้บานเต็มอ้อมใจใครคนนี้
จูบริมแก้มก่อนหลับฝันทุกราตรี
และ..คนดี...
ขอเพียงอย่าได้มีวันพรากจากอีกเลย....!
.....................




แก้วรับฝนหอมพร่างกลางวสันต์
ในคืนฝันฝนรินมิสิ้นสาย
แก้วกลางใจไยลาลับมากลับกลาย
ดารารายเรียงดวงร่วงพรูฟ้า..

โอ้พุดซ้อนมาอ้อนใจใครละหนอ
เล็บมือนางไกวกอพ้อห่วงหา
การะเวกเสกสิ้นหวานบานโรยรา
กุมาริกาหมองเศร้าราวเข้าใจ..

จำปีเอ๋ย..ไยนิ่งเฉยลืมปีหวาน
ยอมร่วงรานยอมโรยราฤาไฉน
โมกดอกน้อยน้อยใจร่วงทวงถามใจ
บานบุรีไยแย้มเย้ยคนเคยรัก...

ดวงดอกปีบบานบีบใจไยทิ้งต้น
พวงครามหล่นปลิดปลิวลิ่วลืมภักดิ์
กาหลงเอยไปหลงใครไยพรากรัก
เกลียวสวาทหักคาต้นหล่นรอใคร...

ชมนาดวาดฝันรอพ้อดอกฝัน
บุหงาสวรรค์บุหงาส่าหรี่คลี่กลีบไหว
บานไม่รู้โรยโหยหาคนในใจ
ดาวประดับใจประดับรักภักดิ์เพียงเธอ...

กระดังงาว้าเหว่เสน่หา
อมรเบิกฟ้ามิเบิกใจไยรอเก้อ
หีบไม้งามยังหวามไหวหลงละเมอ
อัญชัญเพ้อเผยอม่วงทวงถามคำ..

รสสุคนธ์นางแย้มแกมกลีบเศร้า
ราชาวดีราวไร้ราชินีราตรีช้ำ
รักดอกม่วงร่วงคาต้นคืนฝนพรำ
รำเพยย้ำอย่าเอ่ยเผยความใน...

พวงชมพูเคยบานหรูพรูคาต้น
พุดจีบหล่นพราวพื้นฝืนไม่ไหว
พุทธชาดเลิกวาดหวังพิสวาสใคร
พุดน้อมใจเด็ดพุทธรักษาบูชารัก...

มะลิลามลุลีคลี่ดอกหวาน
แย้มตระการมะลิวัลย์พันผูกนัก
มะลิซ้อนซ่อนซึ้งใจใครเคยภักดิ์
มะลิฉัตรระบัดดอกบอกระทม...

สายน้ำผึ้งเคยซึ้งใจในความหวาน
สายหยุดรานหยุดกลิ่นสายคล้ายขื่นขม
เสาวรสหมดสิ้นรักรอเพียงตรม
เหลือลั่นทมบานเศร้า...หนาวกลางใจเพียงดอกเดียว!




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song492.html

รักอย่ารู้คลาย กุ้ง กิตติคุณ เธียรสงค์ 

จำ พรากจากขวัญดวงใจ
ต่อนี้ไป ใครเล่าจะโลมสมร
โอ้ใคร จะคอยพัดให้คลายร้อน
โอ้ใครเขาจะร้องกลอน
กล่อมเจ้าให้นอน ฝันดี
ใคร เล่าโลมเล้าเอาใจ
ห่างน้องไป ใจห่วง นวลฉวี
ไม่ควร โศกตรมให้เสื่อมราศี
เมื่อยามน้องโศกฤดี
ก็เหมือนทรวงพี่แหลกลาญ
จาก น้อง ไป ทั้งที
ขวัญพี่คงหาย
ถ้าแม้นมิได้จูบลานงคราญ
จูบ ฝัง ใจ ฝากไว้ เป็นพยาน
เมื่อยามพี่ไปไกลบ้าน
รักอย่าราญ สลาย
ลา ก่อนลาแล้วกานดา
ห่างน้องมา ยังห่วงอาลัยไม่หาย
กี่วัน กี่เดือนรักอย่าสลาย
กี่ปีรักอย่ารู้คลาย
อย่ารู้วันหน่าย จากกัน

ลา ก่อนลาแล้วกานดา
ห่างน้องมา ยังห่วงอาลัยไม่หาย
กี่วัน กี่เดือนรักอย่าสลาย
กี่ปีรักอย่ารู้คลาย
อย่ารู้วันหน่าย จากกัน... 
 
  







				
30 พฤศจิกายน 2548 16:26 น.

พุทธเพชรตะวัน...

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song359.html
(ไกลบ้าน)
....................


เหนือพื้นดินสามหมื่นเจ็ดพันฟุต
บนเที่ยวบิน..
สู่..แดนดินฟ้าจรดทราย

ตะวันดวงโต..
กำลังสาดส่องจับเมฆกระจาย
จนเกิดพรายแสงรัศมีมณีรุ้งแสนงามราวภาพสวรรค์
ให้ฝันไกลในมโนนึก...


พลอย..
นั่งทอดตาเศร้าเศร้า...
เฝ้าดูทัศนียภาพเบื้องล่าง


*แผ่นดินแม่มาตุภูมิ..*
แผ่นดิน...
ที่พลอยแสนภาคภูมิใจในทุกย่างก้าว 
ไม่ว่า...จะกี่ฝนเศร้ากี่หนาวฝัน


ด้วยหยาดน้ำตา...
อันกำลังพร่าไหลบ่าลง...อย่างมิสิ้นสาย
ณ..ภายใน.. ใจดวงใสดวงงาม..
ที่กำลังรานโศก
อย่างคนกำลังพบวิปโยค..ไกลบ้าน..
อีกหนอีกคราแล้ว..ในนาทีนี้


กับ...
ฟ้าที่กำลังแปรสี กลายแสง
จากแรงร้อนเป็นสลัวสลัวระเรื่อราง
หากงามจนเกินบรรยาย


 ภาพแผ่นดิน.แล..สายน้ำแสนงาม
นาม*เจ้าพระยา..*ที่ราวพญานาค
กำลังทอดตัวสงบเงียบเรียบใสดูฉ่ำเย็น

ราวเป็น..
*สายน้ำแห่งความฝัน สายน้ำแห่งรักนิรันดร์*

ที่หล่อเลี้ยงทั้งผู้คนและพืชพรรณ
มาอย่างยาวยืน
อย่างเงียบงาม 
ในท่ามโลกแล้งไร้ ..แห้งผาก
ราว..
หมายฝากสอนสัจจะธรรมอันเลอล้ำล้นค่า 


ผ่านตำนานน้ำตา...ตำนานการต่อสู้
จากดินแดนแห่งนี้
ที่เราเรียกว่า*สุวรรณภูมิ*พุทธ

แดนดินแห่งอารยธรรมอันแสนบริสุทธิ์ใส
แสนเรียบง่าย ...
พาให้ได้ใช้ชีวิตชิดใกล้..
ได้พันผูกกัน...
อย่างยาวนานจนยากจะแยกออก



ที่น้อมนำ..
ประเพณีและวิถีวัฒนธรรมอันแสนมากมาย
ให้ชาวไทยได้พบภูมิปัญญา
จากร่างใจและจิตวิญญาณ
ที่ได้เคียงใกล้สายน้ำอันแสนใสฉ่ำเย็น 

ที่..
ก่อเกื้อหลอมซึมจนให้กลายเป็น
*ประวัติศาสตร์ไทยประวัติศาสตร์ทองแห่งผองชน*
แห่งคนบนผืนดินนี้ แผ่นดินนี้


ที่ยังมีป่าไพร 
ยังมีน้ำใส
มี ดินอุดม  
ยังมี..
ลมร้อนอ่อนอุ่น  โอบเอื้อ เกื้อการุณย์
ให้ได้พึ่งพิงพึ่งพาซึ่งกันและกัน 
จนผสานเกิดเป็น
*พลังธรรม ธรรมชาติ..*ที่พอดิบพอดี


ให้ดินดี ยังได้หว่านกล้า 
จนข้าวในนาอ่อนเขียว ได้กลายเป็นเรียวรวงสีทอง
มาป้อนปรุงปาก ..เปรอปรน
ให้..
คนไทยทุกคน..ทั้งรวยยาก ทั่วไทยได้อิ่มท้อง


ให้..
ปวงดอกไม้ป่าดอกไม้ไพรยังได้ผุดผลิคลี่กลีบหอมพราย
มากมายหลากสีสัน นานา 
ทั้งไม้เมืองเหว่ว้ารับอวลมลพิษ
ที่..
ยังอุตส่าห์สถิตประดับหวาน
หว่านความประเทือง
ให้จรัสเจรืองจรุงใจ จรุงไกล 
ประดับใจประดับหล้า
อ้อนฟ้างาม ในทุกทิวาหวานราตรีหวัง..


เพื่อเพิ่มพลัง
แห่งความเบิกบานปิติเกษมเอมอิ่มเอิบงาม
ใน..
ท่ามท่วมมวลหมู่มนุษย์หลายสิบล้าน
ได้มีดวงตาเห็นงาม เห็นธรรม


ราวบัวทองบัวธรรมดวงดอกตระการ 
ที่..
กำลังหว่านดอกล้อชูช่อ พ้อแดดลม
เหนือโคลนตมแห่งกิเลส มนต์มายา
ตราบจนกว่า ...
เราจะค้นพบว่า
*ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อสิ่งใด..เกิดมาทำไม*


ให้ไม่สิ้นสุดหยุดแสวงหา
ทั้งๆที่แปดสิบปีก่อนหน้าพุทธกาล
ได้มี...
*เจ้าชายแห่งศากยวงษ์*
 ได้เพียรพาตน..
จนทรงค้นพบหนทาง
แห่งการหลุดพ้นทุกข์ ดับทุกข์..อย่างสิ้นเชิง!


เป็นรอยทาง รอยธรรม รอยทอง ...
ที่เรา...พากันมองข้าม
ด้วย...
มัวหลงทาง มัวเสียเวลา 
มัวมืดบอดจากวิบากกรรมวิบากเก่า

ที่ดั่ง...
*เงากรรมล้อเกวียน..*มาหมุนเวียนย้อนให้ 
มิย้อนรำลึกนึกถึงคำสอนแห่งพระบวรบรมศาสดา


อันคือ ..
สัจจะที่จริงแท้  
เพราะมัวแต่วิ่งตามงามวัตถุล่อหลอกให้เพริศใจ
จากภายนอกที่แสนลวงหลอนหลอกใจ 

ซึ่ง..
สิ่งที่ท้ายสุดแล้วไซร้
ก็พากันแบกหามตามเข้าไปในโลงมิได้
คล้าย...หนักแท้ ....!


และ...
กว่าพันเจ็ดร้อยปี ..!
ที่...
ศาสนาพุทธบานพิสุทธิ์เหนือแดนดินชมพูทวีป
ราวบัวเหนือน้ำ....
ใน..
ท่ามการแสวงหาจากชนชั้นปัญญาแห่งแผ่นดิน...
และ..
ผ่านมาอีกเจ็ดร้อยปี 
ที่..
มนุษย์ในแดนดินนั้น
หันหลังให้กับคำสอนอันแสนล้ำค่า ..
ที่ช่างน่าเศร้านัก...!!!!


จนในวันนี้ ...
วันที่ พุทธศาสนิกชน
ควรพึงประจักษ์แจ้งว่า

หากเราในแดนดิน
* สุวรรณภูมิพุทธ *ยังมิหยุดเมินเฉย
ละเลยการสืบทอด
*ต่อยอดเนื้อนาบุญแห่งธรรมคุณ*
แห่ง..
ยอดพระพุทธศาสนา..จากพระบรมศาสดา
แล้ว..
ฟ้าไทย ฟ้าธรรม ฟ้าทอง 
จะผ่องพิสุทธิ์ไสว..สว่างกระจ่างสงบเย็นได้กระไร..เล่า!



ให้ได้..เป็นดั่ง.
*ร่มโพธิปัญญา*....*ร่มพระรัตนตรัย*

เพื่อกางกั้นทุกดวงใจ
ทุกความหวัง ทุกพลังจิตวิญญาณ
ให้ยังคงสงบงามภายใน
ที่..
จักจำต้องพัฒนา ให้ดำเนินควบคู่กันไป
พร้อมกับโลกศิวิไลซ์...ในทุกวันนี้
ที่คือ..*ภัยกำลังบ่าโหม*
มาทุกทิศทางอย่างน่ากลัว
 อย่างเตือนภัย... เตือนใจเตือนสติ


ให้เราพุทธศาสนิกชนคนดี
ได้มีดวงปัญญา 
ได้ตระหนักพบว่า..
 
ภัยธรรมชาติ
คือภัยที่มนุษย์..ผู้หลงผิด..
ยังคิดว่า...
ตนคือ..ผู้ฉลาดเหนือฟ้าดินอินทร์พรหมยมพญา
จนมิเคารพธรรมะ ธรรมชาติ
 ให้ต้องพบกับความพินาศย่อยยับ


ให้..
ธรรมชาติกลายกลับมาพิโรธสอนสั่ง
ฝากบทเรียนมาจนนับไม่ถ้วน 
ให้ได้ใคร่ครวญชวนหันกลับไปพิจารณา
ถึง..
ดั่งสัจจะใจแห่งธรรมของพระพุทธองค์
ที่ทรงกล่าวว่า...
ธรรมะ ธรรมชาตินั้นคือความจริง
ที่มีมาก่อนที่พระบรมศาสดาจะทรงค้นพบเสียอีก


เพียง...
แค่เรา ..มองข้าม
ไม่รู้ปลีกวิเวกเพียรมองเข้าไปค้นหาความว่างใส
ความเย็นฉ่ำ ความมลังเมลือง
งามดั่งอัญมณี


 ที่รอเวลาผุดผลิ..
ดั่ง..ดวงดอกเพชรพราย...
 จักฉายฉานโชติช่วงชัชวาลย์ 
บานจากบึงจิตบึงนิรมิตธรรมชาติชีวีชีวิตเราเอง ..
ที่...
จักสถิตรอเรา ณ..ภายในบึงใจเราเอง 
ใช่..ต้องรอล้านแสนกาลกัปกัลป์ดั่งเข้าใจ กัน


ก็
จะพลันพบพุทธนิพพาน..
ไสวสว่างกระจ่างแจ้ง..
ด้วย..ตัวตนเราเองไซร้ 
หากเราลงมือเพียร มิท้อ มิรอผลัดวันประกันพรุ่ง...
ใจก็จะเลิกยุ่ง หยุดคิด 
พบนิรมิตเย็น..แสนสงบสุขหมดทุกข์นิรันดร์..
....................


พลอย....
หยุดความคิด...
 ที่บางครั้งแม้นจักคือพลังบวก
หาก..
คือทว่า..ความฝันฟุ้ง มิหยุดปรุงแต่ง
แต่..
ทำอย่างไรได้เล่า...
พลอย..นั้นแค่ก้าวเดินตามรอยธรรม
 หาใช่...จะยังบรรลุ 
จนเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดร่างจิตฤา...ก็หาไม่...!


พลอย..
เพียงหวังสืบสาน..ตำนาน
แห่งความงามความดี
พลีร่างจิต ในชีวีชีวิตกับลมหายใจนิดน้อยหนึ่งนี้
เพื่อที่จัก...
พลีปล่อยวาง ได้หมด ณ..วันหนึ่ง


เพราะ..
วันนี้ นาทีนี้..
พลอยยังต้องทำบทบาทหน้าที่
แห่งชีวาชีวิตควบคู่กันไป..
 อย่างไม่ประมาทลืมตน
ไม่หลงวังวนมายา ไม่หลงทาง
 
ไม่ว่า..
จะพบผัสสะทุกข์พันธนา
มาเร้าโรมโหมร้ายมากมายสักเพียงไหนจากผู้คน 
ที่คือ ...คนคนคน...
ต้องพบปะปน ปรุงปั้น 
มากลายกล้ำทำร้ายกันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์


หากเพียงเค่เรา ตามรู้ ตามทัน 
มีสติ พอที่จะมีปัญญา...
ให้..
เมตตาธรรม ให้อภัย 
ไม่โกรธ โลภ หลง ใคร สิ่งใดนาน


รู้วางรู้ปล่อย อย่างค่อยๆเป็นไป แค่นั้น 
ก็น่าจะเป็น*ก้าวแรกแห่งจิตวิญญาณ*
 ที่..
จักพาพบความยิ่งใหญ่ในทางเหนือโลกย์โศกสุข
ในไม่นานช้า ..
หากว่าเรา ไม่ประมาท 
และเพียรแค่มองจิตตน

ไม่ค้นเพ่งคิดจับผิดเพียงผู้อื่น 
ที่ยังยื่นดาบกิเลส มาเชือดเฉือน
มาทดสอบ..
ระบบระบอบจิตความคิดนึกเรา 
ว่าจะยังคงเขลาเบาปัญญา..
ฤาว่า..ยังคงหลงผิด

ยังคง..หลงยึดติดยึดมั่น กับมนต์มายา
ในทางอารมณ์  จนวางมิลง
 มิยอมคลายกำ กรรม..
ได้ดั่งจิตตั้งมั่นฤาไม่...


พลอย..จึงเพียงขอแค่ 
ดำรงจิตกายให้พรายแสง
ดั่งมี
*เพชรมณีไสว ณ..ภายใน*
ที่..
แสนแกร่งกล้า หนักแน่นถึงแก่นใจ
ดั่งแผ่นผาศิลา 
ที่..
หมายถึงรู้รักษ์ศีลห้าที่แสนบริสุทธิ์
มิหยุดเพียร..
 
ที่ถึงมาตรแม้น ใครมาห้ำหั่นทำร้ายอย่างไร 
ก็หามีวันที่จะเจ็บเนื้อเถือใจได้นานไม่


ดั่ง
แผ่นดินที่แสนกว้างไกล
ที่รับหมุนวนแปรเปลี่ยน
รับดีร้ายได้ทุกฤดูกาล
ไม่ว่า..
จะน้ำหลากดินจะแล้งจะแห้งผาก
 ฝากระทมท้อ 
ก็..
ขอให้ผ่านไปๆ

ให้เหลือเพียง...ดวงใจ 
ดั่ง..มีน้ำไหลนิ่ง 
ไหลไปไหลไป อย่างสงบใสเงียบงาม
ฝากสายกระแสธารใจอันแสนใสฉ่ำเย็น


ไม่ใช่น้ำเน่า  
ที่เฝ้ารับร้าย หมายจำ
ในทุกราวเรื่อง ที่ไม่ประเทืองประทับใจ
ในทุกสิ่งอย่าง..


เป็นดั่งเกรียวเมฆ..ละออละอองผ่องใส
ที่สว่าง..กระจ่างไสวเย็น..
ประดุจดั่งลมหายใจนี้...
ที่พลีเข้าออก ...
บอกกับตัวทุกขณะจิต
ให้จับนิมิตไว้แค่ ปัจจุบันเพียงนั้น
...................


พลอย...
จึงรู้หยุด รู้สติ แม้นจิตนี้บางครั้งจะแสนดื้อ
หากพลอยก็รู้วิธีที่จะจัดการ

และ...
แม้นพลอยจะพบรานเศร้า
หนาวน้ำตา ตามประสาปุถุชน
คนที่ยังมีกมลละไม...
ในยามพรายพลัดพรากจากสิ่งที่รัก..
อันคือสิ่งที่จักต้องเป็นไป...!



พลอย...ก็จักยังคงเป็น*พลอยไสว *
ที่ยังมีจิตดวงเลื่อมใส...
ราวกับแก้วแววประภัสสร
ดวงอรชรแสนสว่างงาม..ในท่ามโลกนี้


ที่...
พลอย..คนดี ยังคงพลีใจ
*เชื่อมั่นศรัทธาในพลังแห่งความดี *
ว่าคือ..
พลังแห่งพุทธพลี

 ที่..
หากเรายังมีใจรักธรรม 
ผู้มีธรรม...ไม่ทิ้งธรรม 
มีธรรม..เป็นเพื่อนอบร่ำพร่ำสอน
ดั่งกัลยาณมิตร
ได้อบร่ำชีวิต  ได้นำพาชีวิต
คงเดินมิผิดทาง..
อย่าง..เพียรพยายาม แม้เพียงลำพัง...


เพื่อ..ค่อยๆประคองจิต
ก้าวเดินตรงไป...ยังฟากฝั่ง
ที่เหนือราวฟ้า ราวจิตนั้น
ราว
* มีดวงมณีชีวิตในทิพยนิรมิต *

ตะวันพุทธเพชร

ที่ 
งามดั่งเก็จแก้วแววใส
เป็นพลังใจอันแสนไสวพร่างสว่างพราย
คอย..
ฉายฉายรอโอบตระการ รายรอบ...รับร่าง
ให้ล้อมพราว
ให้งามอะคร้าว
ราว..
ค่อยๆลอยเลื่อน...เหนือโลกย์..
พ้นโศกสุข..พ้นทุกข์ 
พบว่าง...
อันคือสุขอย่างไร้ร่าง  ว่างเปล่า ตราบชั่วนิจนิรันดร.....

...........................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song359.html
ไกลบ้าน ....ชรินทร์ นันทนาคร 

วิปโยคโศกใจ เหมือนเมื่อไกลบ้าน
ไกลสถานพักพิง ยิ่งใจเหงา
ห่างไกลหัวใจจำเศร้า เจ้าอยู่ดีเป็นไฉน
พลัดที่พึ่งที่พิง ทิ้งที่พำนัก
ไกลที่รักพักพา จะอาศัย
เจ้ามีเพื่อนชมคนใหม่ แล้วทิ้งพี่ให้ชอกช้ำชีวี
อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า
เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี
อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี
ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง
เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า
จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง
ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง
ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล
  
อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า
เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี
อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี
ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง
เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า
จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง
ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง
ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล...


				
26 พฤศจิกายน 2548 21:53 น.

ลั่นทมบนลานใจ..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
(คิดถึง)
......................



สนามบินสุราษฎร์ธานี

หญิงสาวสูงโปร่ง วงหน้ารูปไข่  
ใบหน้าไร้เครื่องสำอางใด
นอกเพียงจากเครื่องประดับหน้า 
ที่ดูงามใสเด่นคือนัยน์ตาสีอำพัน
ที่ดูราวกับทะเลเร้นลับอันแสนล้ำลึกเงียบสงบ 

 
และ..
กับผิวสีน้ำผึ้งรวง 
ที่ดูแสนโดดเด่น..ยามเธอก้าวล่วง
ออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า
ก่อน..
ที่เธอ..จะแย้มยิ้มยินดี ..เมื่อหันมาพบ..
สบตากับใครคนหนึ่ง...ใครบางคน..
ในกมลที่หลงเฝ้ารอมาแสนนาน..นานแสน


ร่างสูงเพรียว..ผิวสีทองแดง
ในเสื้อยืดขาวและกางเกงทหารพรานสีขี้ม้า
 ที่ยืนเอามือไพล่หลัง อย่างเจนตา คุ้นใจ
ในท่ามผู้คนอลหม่านอลวนแสนวุ่นวายวายวุ่นรายรอบ 
ในยามตะวันรอนรอนดวงอ่อนอ่อนแสง ...


เขา....ผู้ชายนัยน์ตา..น้ำตาลโศก 
ที่ดูราวโลกจะหยุดหมุนหากยามจ้องผู้ใดนานๆ
ค่อยๆ...
ก้าวผ่านผู้คนเดินตรงมาที่เธอ..อย่างช้าช้า..
พลังกระแสอะไรบางอย่าง...
พร่างแผ่สร้านเรืองรองรายรอบร่างของคนทั้งคู่ 
ที่สัมผัสด้วยตาเปล่า ...คงมองมิเห็น..
เป็นความเย็นฉ่ำ สว่างไสวราวสายกระแสธารใจ
ที่เขานำติดตัวมา..ติดตามมา..


เป็นดั่งพลังรัศมีแห่งรัก เมตตา อาทร
อันแสนอุ่นเอื้ออ่อนหวาน
เสมอเสมือนดอกไม้..
ที่กำลังค่อยๆผลิแย้มบานดวงดอกตระการ
ในท่ามพงไพร ที่แสนบริสุทธิ์ใส ไกลห่างโลกมายา
พอกันกับ..
เกรียวเมฆบางเบา..
ที่แสนเหงางามรอรับพรายสายแสงสว่าง
จากรัศมีสีทอง..อันแสนละไมอบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง..พอกัน


น้ำนัยน์เรียวตาสีอำพันวาบวับวิบวาว
ดั่งประกายดาว ....
ที่กำลังส่องแสงในฟากฟ้ายามคืนเดือนมืด
ราวมุกมณีนางฟ้า..ที่พร่างพ้อ ปริ่มรอริมเรียวตา
เพื่อหยาดหยด
รับมิ่งขวัญหล้าขวัญไพร
ขวัญในดวงหฤทัยแห่งการถวิลรอ
ด้วยความรู้สึกยากพรรณณา..


เมื่อ...
 เขาก้าวเข้ามาชิดใกล้...ใกล้เสียจนได้กลิ่นเหงื่อรำไร
จากหนุ่มเจนไพร ..
ผู้มี..โลกละไมหอมกรุ่น
ในทุกอณูละมุน
แห่งสายเลือดรักดิบดินดายเดียวเดียวดายสมถะ


กับ..
ฟ้าพรายแสงสีครามกระจ่างไสวกับ
นิยามใจหอมงามแห่งความรักท้องทุ่งเรียวรวงสีทอง
และ...
กับหอมห้วงแห่งดวงดอก ไม้ป่าดอกไม้ไพร
ราวกับเกสรพิสุทธิ์ใสแห่งดวง ดอกกล้วยไม้ดิน 


ที่...
เขาเพียรมิสิ้นท้อ..เฝ้าปลูกกอพ้อเถาวัลย์
ณ..เรือนแห่งความฝัน เรือนริมธาร 
กระท่อมหวานแห่งกาลเวลา..


กับ..
สายธาราระรินๆระริกระริก
เฝ้ากระซิบกระซาบกับโขดหินอย่างแสนรักในทุกยามค่ำคืน
ใน..ยามดึกดื่นใต้เงาดาว อย่างหวานเศร้าหนาวใจ 
ระรินไหล..อย่างเนิบช้า 
เสมือนลีลาท่วงท่ายามนี้...ที่เขากำลังก้าวเดิน..ตรงมา


เขา..ค่อยๆเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็ก
ทั้งที่เธอคล้องบ่าและหิ้วไว้..อย่างสุภาพ

มืออบอุ่นทาบกับมือเรียวบาง
ให้ทั้งเขาและเธอชะงัก นิ่ง..ในท่ามกลางความวายวุ่น
ให้สัมผัสละมุนถึงพลังกระแสแห่งความเอื้ออุ่นอ่อนโยน


*ตาสบตาอีกครา*
ก่อนที่เขาจะกระซิบถาม
*เหนื่อยไหมครับคนดี*
เธอ..คลี่ยิ้มใสใสก่อนจะกล่าวคำ
*ไม่ค่ะ ดีใจตื่นเต้นเสียมากกว่าที่ได้กลับมาที่นี่ค่ะ*


เขา..ยิ้มตอบ ..
ก่อนนำเธอออกไปยังลานที่จอดรถ
แล้ว...หันมาบอกกับเธอ..
*มอ..คู่ใจคันเก่าครับ 
ยินดีต้อนรับครับเจ้าหญิง
แล้วเขาก็ทำท่าผายมือเชิญ ให้เธอหัวเราะ..*
*ยังงามดีใช้การได้ดีนะคะ
ฉันคิดถึงมันค่ะ และอยากนั่งซ้อนท้ายไปกับคุณ

*คิดว่าสมบุกสมบันพากันท่องไปไหนๆจนล้อหลุดเสียแล้ว..*
เธอ..กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ...


*รับรองครับ 
คนดีว่าจะถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
และ
ไม่มีวันที่ผมจะให้มีริ้นไรกลายกล้ำเท่าปลายก้อย
ด้วยเกียรติลูกผู้ชายชาติไพรครับรับรอง


*ว่าแต่ว่า ..คนนั่งซ้อนนะซี
จะไหวมั้ยนี่ หนทางไกลนะครับ*
เอานะ..เพราะว่าคุณไม่มีทางเลือกแล้ว*

*มาครับ
ให้ผมมัดกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะดีกว่า
 คุณจะได้นั่งสบายๆ*


เธอ..ล้วงหยิบผ้าคาดผมสีส้มสดออกมาพันทบ
รวบเก็บผมไว้ก่อนทิ้งชายสยายล้อลม
พลางสวมแว่นตากันแดดลมอันเล็กกระทัดรัด
ขับใบหน้านวลให้ยิ่งเก๋ไก๋หวานแฉล้ม
ยิ่งแสนชวนมองในยามย่ำสนธยา


เขาขึ้นประจำที่คนขับ
กับอานใหญ่เบาะกว้างของเจ้า*บลูเบิร์ด

เสียงรถ..
ฮอนด้าสปีด400ครางกระหึ่มก้อง
พร้อมกระชากตัวตามแรงบิดชนิดไม่เห็นฝุ่น...
หากต้องการ ตามใจทะยานแห่งเจ้าของ


หากเที่ยวนี้ เขาคนดีคงไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงภัย
ด้วยร่างนางในดวงใจกำลังซ้อนซบไหล่
ให้หัวใจเขาแสนสะทกสะท้าน..อยู่ ณ..เบื้องหลัง


ร่างแนบร่าง ไร้สิ่งใดขวางกั้น
หัวใจเขา...กำลังทะยานหาญกล้า
พาร่างใจทะยานราวเหนือโลกโศกสุข 
รอบุกสู่ป่าใหญ่ไพรกว้าง 
เทือกเขา สวรรค์หวาน
ริมลำธารสายงามที่กำลังทอดตัวนิ่งรอ..อย่างแสนรัก


เขา..คนดี
ขออนุญาติเธอ..เพื่อเร่งเครื่องทำความเร็ว
หวังจะพาเธอให้ไปทันดู....
พระอาทิตย์...ที่กำลังจะลาลับเหลี่ยมผา ในบางที่
ที่มี..
อาหารทะเลสดรสดี 
มีดนตรีแห่งความฝัน
กำลังรำพันรอ ..ระหว่างทาง ก่อนจะเดินทางสู่
*กระท่อมริมธาร* วิมานไพร*.. ที่กำลังจดจ่อรับ


เธอ..แย้มยิ้ม 
กับพลังสดฉ่ำ จากสายลมที่กำลังไล่ประทะหน้า
กับแมกไม้ไพร
ที่กำลังโบกสะบัดราวกับคอยกวักมือเรียกเธอ


กลิ่นหอม...
ของพวงพะยอมดวงดอกไม้ป่า..
พากันแย้มเผยอกลีบ..
ออดอ้อนสายลม..มาทายทักอาคันตุกะจากแดนไกล
ที่....
พร้อมเปิดจิตวิญาณภายใน.ซึมซับรับหวานงาม


กับ..
ฟ้ากว้าง..ที่กำลังแปรสี*เป็นรัศมีสีรุ้ง*
พุ่งพรายฉายฉานตระการไปทั้วทั้งราวป่าราวไพร
เรี่ยยอดไม้ยามใกล้ตะวันลับลา


ฟ้าพยับแดดละมุน..
ค่อยหมุนกลายสีเป็นไพลโศก
ตามแรงวนของโลก...สู่ราตรีกาล 
ให้ดารารายได้พรายพร่าง
มากระพริบแย้มเยือนยามราตรี 
ตราบชั่วนาตาปี มิมีนาทีสิ้นสุดหยุดได้ลง..!


เขา..ค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือเธอ..
ให้เกาะเอวเขาแนบแน่นเข้า
อย่างนุ่มนวล...

มือสัมผัสกัน
ใจดวงนวลดวงงามของทั้งคู่
เริ่มหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่มีขอบเขตสิ่งใดมาขวางกั้น 
*นอกจากพลังแห่งความรัก*
อันสูงส่งงดงามเกินหานิยามใดมาเปรียบเปรย


รักที่...ผ่านเลยจุดแห่งความสวาทหวามเสน่หา 
เหนือมนตราแห่งมายาครอบครอง
มีเพียงพลังแห่งรักเมตตาปรารถนาดี 
ดั่งมิ่งมิตรกัลยาณมิตรธรรม


ที่..
หวังเพียงรินร่ำน้ำใจรักให้อีกฝ่าย
ได้มีแต่ความสุขไร้ทุกข์สิ้นพันธนาจิต
ได้..
พลีมอบชีวิตณ ภายใต้ร่มพระรัตนตรัย
ที่..
แสนร่มเย็นเห็นงามเงียบสงบสะอาดสว่างไสว..
ไม่เหน็บหนาว...ไม่ร้าวราน..
ดั่งดอกบัวบานพ้นน้ำเหนือโคลนตม


รอรับสายแสงวิมุตติธรรมผสานผสมสู่จิตวิญญาณ
ให้งามพราวดั่งอัญมณี
ดั่งมีพลังสายแสงทอง
ให้สาดส่องนำทางใจ..
ไปสู่ความสว่างไสวตราบชั่วนิจนิรันดร์


เขา..
อยากจะร่ำไห้...เมื่อได้พบเธอนางใจในละเมอ
ของดวงใจพ่อนกไพรพเนจร
ที่..หวังพลีเคียงคอน...
สร้าง..*กระท่อมเรือนรังแห่งรัก*
ไว้ให้เธอได้พักพิงอิงอุ่น 
สร้าง..*โลกธรรมหอมกรุ่น*..ไปด้วยกัน


ที่..
เขาเพียรพร่ำวอน ให้เธอย้อนมาเยือนที่นี่
ที่ที่เขาคนดีกำลังรอพร้อมพลียินดี..
ที่จะพาเพื่อนตายคนดี ไปพบสายแสงธรรม


จาก..
*พระภิกษุสงฆ์ชรา *
ที่ท่านธุดงค์มาปักกรดคร่ำ ณ..ในผาถ้ำ 
แห่งเทือกเขาไพรที่แสนไกลห่าง
และ...
มีเพียงเขาผู้เดียวไปพานพ้อง
ราวได้พบกับ*อัญมณีสีทอง..*
ทันที่...ที่เห็นจีวรผ่องพราย
ในท่ามแสงเทียน
และ ม่านระย้าย้อยของหินงอกในถ้ำ


จากหลายค่ำคืนหนึ่งที่ผ่านมา...
พาเขาแปลกใจ
เมื่อพบ...
แสงเรื่อเรืองรำไรรำไร
ราวมีหิ่งห้อยพร้อยพราวแสงในเงื้อมเงาถ้ำไพร


ที่..
ร้อยวันพันปีจะไม่เคยมีสรรพแสง...สรรพเสียงใดลอดออกมา
นอกจาก...เพียงเสียงน้ำตกภายในเวิ้งผาถ้ำ
ที่จะพากันระรินระรินไหลอย่างเงียบๆ
อย่างเฉียบฉ่ำเย็น 
จน...กลายเป็นกระแสธารผ่านออกมา
สู่ห้วยละหาร
เป็นลำธารสายบริสุทธิ์ใสในกลางไพรทรวง..


เขา...
จึงตัดสินใจพาตัวเข้าไปค้นหาความจริง
และ..
ด้วยดวงใจนิ่งงัน
ที่พลันแสนสุกใสสว่าง..ราว*ดาวดวงประกายพรึก*
ในยามดึก...
 เมื่อพบภาพพระสงฆ์ชรา
หากทว่าใบหน้าแสนอาบเอิบอิ่มบุญ
ด้วยแสงเทียนทองผ่องพรรณราย
ที่กำลังพรายแสงทอกระทบดูแสนสมถะสงบงาม



ท่านนั่งสมาธิบนเนินหินเตี้ยๆ..เหนือสายน้ำ
ที่..ช่างงามแสนงาม มลังเมลือง..เกินจะกล่าว
ราวกับมี...
พลังรัศมีสีทอง
ฉายฉานทรงกลดโชติช่วงรายรอบร่างท่าน


เขา...
เฝ้าหมอบกราบนานนาที
กว่าที่ท่านจะเอ่ยคำ..ทั้งๆหลับตา
โยม..มาถูกที่แล้ว
รอสักพักนะ
อาตมาจะสวดมนต์ภาวนา..ต่ออีกนิด
แล้วเราจะได้มาคุยกัน*


บทต่อจากนั้น..
เขาจักไม่รำพันเผยเอ่ยออกมา
เพราะทุกปุจฉาจากองค์สมณะ
ที่เพียรพาให้เขาค้นหาคำตอบ
ได้ฝากศรัทธาปสาทะ 
ให้หัวใจเขาที่ร้อนรุ่มเยือกเย็นลง



ราวได้พบสายธาร..น้ำอมฤตธรรม
ผ่านล้ำล่วงเข้าไปในกระแสจิต 
บึงนิรมิตแห่งทิพยแห่งใจ
ที่ทำให้ เย็นใสสว่างพร่างพราย
ราวได้รับพลังแห่งอมตะนิรันดร์สวรรค์ว่างวาง
จากการที่ท่านหยิบสัจจะธรรม
บางคำสอนจากหลวงพ่อท่านพุทธทาสที่ฝากคำล้ำเลอค่า
เอาไว้ใน*นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้*

เมื่อไรจะได้...?

ท่านอาจารย์
เมื่อไร ผมจะได้ดวงจันทร์นั่น?
ตอบ..เมื่อแกรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะได้ ไม่ควรได้ ป่วยการ

เมื่อไร จะได้นิพพาน?
ตอบ..เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่ควรอยากได้
ไม่มีอะไรที่ต้องได้...

ไปนิพพานทางไหน?
ตอบ..ไปทางทะลุตัวเอง

ไกลเท่าไร?
ตอบ..แค่ยาววาหนาคืบ
แต่คนไม่รู้นึกว่าเดินทางหมื่นกัลป์แสนกัลป์

ทำอย่างไร?
ตอบ..ดูทะลุปรุโปร่งตัวเอง
ในทุกแง่มุม แห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา ตถาตา






และ..
นี่คือที่มา..ในวันนี้
ที่เขา..คนดีได้พลีใจ
เฝ้าเพียรเวียนวอนขอรอวันว่าง
ให้เธอได้เดินตามเขามา...หา*รอยธรรม*
อันล้ำเลอค่านี้
หากเธอยังมี..กุศลจิตบุญญาบารมีพอ..
ขอให้เธอตัดสินใจ
และ..
ในที่สุดเขาก็ไม่ผิดหวัง


เธอ..
อยู่ตรงหน้าเขานี้แล้ว..
แม่ดวงแก้ว ดวงขวัญ แม่จอมใจ
และ..
โลกในหัวใจเขาก็พลันแสนไสวสว่าง
เมื่อเขาเห็นร่างเธอมาปรากฏกาย
มานั่งชิดใกล้แค่เอื้อมมือคว้า
กำลังนั่งนิ่งๆทอดตา...ดูพรายพระอาทิตย์สนธยา
กับฟ้าใกล้ค่ำ...กับเสียงระร่ำรินภายในดวงใจเขา
ที่แสนเอมอิ่มเป็นสุข ในทุกนาทีอุทัยโลกหมุน


เธอ..
ตกอยู่ในภวังค์ฝัน 
กับพรายแสงอาทิตย์
ที่..
กำลังสาดแสงสีทองกระทบยอดไม้
จนเกิดประกายวะวิบวับ
ไปทั่วทั้งท้องพนาท้องทะเล


เสียงนกกาเริ่มร่ำระงม
กับ..
สายลมรำเพยหอมหวานเย็นฉ่ำ
ราวกับมีฝนหลงฤดู
พรายสายมาจากที่แห่งใด ไม่ไกลจากที่แถวนี้


ณ..
ที่เธอทรุดตัวนั่งลง..ณ..ที่แห่งนี้
คือที่ที่เขากระซิบบอกเธอว่า
*คนดี..ผมจะพาคุณแวะบางทีก่อนนะ
ระหว่างทาง...
ก่อนที่..
จะพาเธอลัดเลาะลดเลี้ยวเข้ามาในท่ามทิวสนดงตาล


ก่อนจะ..
ค่อยๆเลียบเส้นทางเคียงขนานไปกับทะเล
ที่ เบื้องบัดนี้
แปรสีรับพรายแสงจนทั่วทั้งท้องน้ำ
แวววาวราวถูกโปรยปรายโรยด้วยกากเพชร จรัสจรุง


เขา..พุ่งรถ.. 
มาจอดยังหน้าร้านริมชายชลเล็กๆ
ที่หลังคามุงจาก..
หาก..ด้านหน้าจะมีชานไม้ยื่นออกไป
ชิดเคียงใกล้โอบกอดโค้งทะเลไว้อย่างรักใคร่
ให้ได้..
ฟังเสียงคลื่นคลอ พ้อลมคราง 
ให้ดู..
นางนวลถลาโฉบล่าเหยื่อเหนือฟองคลื่นขาวนวล


และ..
มีแมกไม้ไทยประดับรายรอบ
ทั้ง...
โมกดอกพราว..
ทั้งหอมอวลเศร้าของลั่นทมพราวเต็มราวกิ่ง
ที่กำลังทิ้งตัวระย้าพวงดวงดอกดก 


ทั้ง..
จำปี..ที่ยังเยาว์ดรุณ
หากให้ดอกหอมกรุ่น 
ให้ทุกดวงใจแขกผู้มาเยือน
คงตามติดเตือนให้จำเดือนจำปีจำนาที
ที่มานั่งนะที่ตรงนี้ได้ไม่มีวันเลือน


ไหน จะแปลกนักที่ยังมีช่อฉัตรปาริชาติ 
แสนพิศสวาทโรจน์แรงแดงเพลิงไปทั้งต้น
แทบมองไม่เห็นใบ

ให้ในคลองตารื้นชื้นตา
เมื่อคิดถึง เรื่องรจนากามนิตวาสิฎฐี 
ที่ทำให้ระลึกชาติได้..
คล้ายมาย้อนวอนเตือน
ให้รำลึกจดจำเรื่องในหนหลังที่เคยได้ฝังฝากใจ


มีโต๊ะเก้าอี้ไม้ไผ่..วางไว้
ใต้ซุ้มแมกไม้ใบบังอันให้หอมเหล่านี้
ที่..
ในยามนี้ต่างประชันขันแข่งกัน
อวดหอมพรายมากับสายลมทะเล
ที่..
กำลังเพ้อละเมอคราง 
ให้มิร้างแรมรักลาเลือนไปไกลตาอีกคราครั้ง


และ...
นั่นพระอาทิตย์ดวงโต..
สีแดงฉ่ำก่ำสุกเท่ากระด้งฝัดข้าว
กำลัง..
อวดองค์ทรงรัศมีสีรุ้งพรายฉายฉาน
หาก...
ให้สีประกายหวานส้มแสดทองเจือชมพูดูพริ้งพราว
ให้มองแล้ว..
ยิ่งงามหนาวใจราวกับมาสอนสัจจะใจ



ให้..
ทุกชีวิตและทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งดู
ให้รู้ทันเท่า ...เฝ้ารอวันเวลาแห่งตะวันใจ
ที่จะรอลาลับดับไป
*ราวตะวันตกดิน*
มิวันใดก็วันหนึ่ง..ซึ่งก็จะมาถึงสักวัน
คง..ไม่นานช้ากับกาลเวลาที่เวียนวน
กับลมหายใจแสนสั้นในวันนี้
ที่ใครกันนะจะหนีพ้น..



บทเพลง..*แห่งท้องทะเล..*กำลังเพ้อครวญ
มากับ..
คลื่นฝันรัญจวนยามย่ำสนธยา
กับนาทีนี้ที่แสนสุขสงบงาม...



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2461.html
ทะเลไม่เคยหลับ ....ดิอิมพอสซิเบิ้ล

มอง ซิมองทะเล
เห็น ลม คลื่นเห่จูบหิน
บาง ครั้งมันบ้าบิ่น
กระแทก หินดัง ครืน ครืน
ทะเล ไม่เคยหลับไหล
ใครตอบ ได้ไหม ไฉน จึงตื่น
บาง ครั้งยังสะอื้น ทะเลมันตื่น อยู่ร่ำ ไป
ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไวั
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเล ครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับ ทะเล

ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไว้
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเลครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับทะเล...
...................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4858.html
ตะวันลับฟ้า พุ่มพวง ดวงจันทร์

แสงสุริยาจวนลาเหลี่ยมโลก
ลมเย็นไผ่เอนไหวโยก
ลมโชยโบกพัดพริ้วลิ่วมา
จักจั่นเรไร หริ่งร้องก้องพนา
จวนสิ้นแสงสุริยา
ประหนึ่งว่าดนตรีสวรรค์
แสน
สุดเสียดายมองไปใจเต้น
ยามเมื่อตะวันเย็นๆ
เคยว่ายน้ำเล่นเคียงคู่ร่วมกัน
ตะวันลับฟ้าเสียงน้ำซัดซ่า
ไหลเซาะลำธาร
เคยเด็ดดอกบัวสาบาน
เห็นทุกวันแล้วเศร้าใจ
โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง

โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง...
.........................



น้ำตาเธอ ค่อยๆไหลเอ่อซึม
เธอ...
ปลดผ้าผูกผมออก 
ปล่อยให้..
สายลมพัดสยายปลิวไปทางเบื้องหลัง..อย่างไร้พันธนาใด
ปลดปล่อยดวงใจ...
ให้โล่งลิ่วปลิวคว้างเหนือขอบฟ้ากว้าง..น้ำจรดฟ้า



ราว..
นกนางนวลที่กำลังถลาร่อนบิน 
อย่างมิถวิลอาวรณ์รอผู้ใดในท่ามโลกสีน้ำเงินงาม 
ที่เวิ้งว่างร้างไร้ ....ราวแสนยินดีในดายเดียวลำพัง..ลำพัง
แม้นมิพบฝั่งฝัน ..
หากมิเคยสิ้นหวัง..ที่จะติดปีกโผบิน..มิสิ้น.เพียร


เขา..
สบตาเธอ...
ในสายลมละเมอครวญ 
อวลด้วยรอยยิ้มเอื้ออุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน


*ไร้คำพูดใด*
สองดวงใจ..ปล่อยให้...
สายตาคือภาษาเงียบงาม
ที่..
งามเกินงาม..
เกินกว่า..นิยามค่าคำใด..
ที่จะเผยใจให้หลุดออกมา


ที่ไม่อาจแทนค่าความซาบซึ้งล้นใจ
เพราะถึงสักหมื่นแสนพันคำใดเล่า
ก็หาจักแทนค่าความห่วงใยเมตตาปรารถนาดี
มาอย่างยาวนานเหนือกาลกัปเวลานี้ได้ก็หาไม่..!


เธอ...
หันมายิ้มด้วยน้ำตาแทนคำว่า..
ขอบคุณซ้ำๆ
หยาดน้ำเพชร..
ที่เรียวตาคือหยาดน้ำภักดิ์ล้นค่า
ที่เธอ..คนดี..ยินดีพลีมอบ
ตอบแทนคำมากมาย ...
ที่..เขา..คงใช้ใจเพียงนั้น..สัมผัสได้


สายลมทะเลพัดละมุน
หยอกล้อพ้อลั่นทมดอกหนึ่ง..
ให้ปลิดปลิวลิ่วลอยควะคว้าง
อย่างอ้างว้างเหว่ว้าลงมาตรงหน้า*เขา*คนดีพอดี


เขา..ค่อยๆเอื้อมคว้า
และ..
ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตรงหน้า
ชิดใกล้ริมเรียวแก้มของเธอ
ที่..
กำลังคลี่แย้มยิ้มให้เขา...อย่างแสนเอื้อเอ็นดูรักใคร่ผูกพัน


เขา..ค่อยๆใช้นิ้วแข็งแรงนั้นไล้เลียบเสียบแซม
*ดอกไม้ในฝันนิรันดร์รักนิรันดร์ภักดิ์*
ทัดผมให้เธอ ..อย่างแสนทะนุถนอม..
พร้อม..พลีจูบแผ่วผิว..
ที่ปลายผมนิ่งนาน............


โลกงามเงียบงัน..!
 มีเพียงคนทั้งคู่ลำพัง
กับ..
ฟากฟ้าทะเลฝัน
กับ..
เพียงพระจันทร์ ดาวดวงงาม..พลอยรับรู้..
เป็นพยาน...
ในรัก...
อันแสนงดงามงามงด..เกินกว่าผู้ใดจะล่วงรู้ได้


เธอ..ไล้ลูบมือเขานิ่งนาน
อย่างแสนอ่อนหวานอ่อนโยนพอกัน
ก่อน..
ที่จะค่อยๆยกขึ้นมาประทับรับขวัญ
ด้วยรอยจูบละเมียดละมุน...
ให้...โลกทั้งโลกหยุดหมุน..เฝ้ามอง...!
........................





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
คิดถึง กุ้ง กิตติคุณ เธียรสงค์ 

จันทร์ กระจ่าง ฟ้า
นภา ประดับ ด้วยดาว
โลก สวย ราว
เนรมิต ประมวล เมืองแมน
ลม โชย กลิ่น
มาลา กระจาย ดินแดน
เปรืยบ มี แสง
คนึง ถึง น้อง นวลจันทร์

งาม ใด หนอ
จะพอ ทัดเทียบ เปรียบน้อง
เจ้า งาม ต้อง
ตาพี่ ไม่มี ใครเหมือน
ถ้า หาก น้อง
อยู่ด้วย และช่วย ชมเดือน
โลก จะ เหมือน
เมืองแมน แม่นแล้ว
นวลเอย...



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song222.html
ฉันรักเธอเสมอ ..ทิพย์วรรณ ปิ่นภิบาล

หากตราบใด
สายนที ยังรี่ไหล
สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์
เกลียวคลื่นยัง
กระทบฝั่ง ดั่งอาจิณ
เป็นนิจสิน ตราบนั้นฉันรักเธอ
เช่นตะวัน
นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน
มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์

หากตราบใด
สายนที ยังรี่ไหล
สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์
เกลียวคลื่นยัง
กระทบฝั่ง ดั่งอาจิณ
เป็นนิจสิน ตราบนั้นฉันรักเธอ
เช่นตะวัน
นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน
มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์...
				
2 พฤศจิกายน 2548 08:27 น.

เสียงสายฝนสายฝัน..สวรรค์..ในดวงใจ

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5719.html
RHYTHM OF THE RAIN 
.............



เธอ..โทรมาหาผม..
ขณะที่..
ผม..กำลังเบื่อโลกตรงหน้ายิ่งกว่าวันไหนๆ
และ..
เบื่อเสียยิ่งกว่า...เมื่อได้ยินเสียงเธอ
เพ้อร้องไห้รำพึงรำพัน
ราวกับใครสักคนกำลังจะตายจาก
ณ..บัดเดี๋ยวนั้น...!



*เค้าทำกำไลขวัญ นิรันดร์รักหาย *
ใช้ให้คนงานค้นทั้งบ้านแล้วไม่พบเจอ

เค้า..ไม่เคยเสียดายอะไรมากมายกระทั่งเงินทอง
แต่ทำไม..
เค้าถึงต้องใจหายราวกับหัวใจจะหลุดลอย
กับกำไลเงินแค่นี้...ก็ไม่รู้ได้*



ผม..
ได้แต่ทำใจเย็นปลอบประโลม
ช่างมันเถอะครับ อย่าไปยึดติดเลย
แค่กำไล...
และ...
ยังไม่ทันจะต่อให้จบประโยค..

เธอรีบย้อนกลับด้วยน้ำเสียงรานร้าวเศร้ากว่าเดิม
*ใช่ดิ..ตัวเองให้เค้าแบบถูกบังคับนี่
มันจะมีค่าอะไรเล่า
ไม่เหมือนเค้าที่รักมันราวเพื่อนตาย
เค้าเคยคิดให้มันมลายไปกับร่างเค้าจะดีเสียกว่า*
*แต่..
แค่นี้ฟ้าดินยังไม่เวทนา ให้เค้าไร้วาสนา
ไม่สามารถรักษาของมีค่า
ทางจิตวิญญาณนี้เอาไว้ได้เลย..*



แล้ว..
เธอก็วางหู
ทิ้งให้หัวใจผมแสนหดหู่เศร้าหมองด้วย..
ราวกับแสนใจดำ
ที่ยังไม่ทันย้ำคำหาคำแสนดี
มาปลอบประโลมใจเธอ
ว่า..
ยินดีจะพลีใจ หาวงใหม่ มามอบให้แทน...



และ..
ทำไมนะ
คนดี...
ผมถึงมักปล่อยให้สิ่งดีดี
ที่จะพลีมอบแด่คุณมักสายเกิน

สายไปแล้วใช่ไหม
กับทุกสิ่ง 
กับ..
น้ำใจ ...กับคำสารภาพ

ที่ผมมักเมิน
และหันหลังหนีไป
ไม่ยอมเผชิญกับการที่จะยอมรับ
น้ำใจรักภักดีจากคุณ 
ที่แสนแผกคิด แสนพิเศษพิสุทธิ์



ผม..จำได้..
ยามที่คุณเล่าเรื่องราวบางเรื่อง
ที่มีคนเตือนว่าคุณจะลำบาก
หากยังบำเพ็ญตัวราวกับ*การให้*
คือสายธารที่มิมีวันหยุดไหล
และให้ให้ไป..

จนใครๆ..ที่ชิดใกล้และหวังดี
มักเตือนว่า ไม่ช้านานนี้คุณจะเหลือแต่ตัว
ทรัพย์สินเงินทอง
ที่กองมากพอเลี้ยงตัวได้ตราบวันตาย
จะมลายหายไป...
ด้วยนิสัยที่ช่างมากเมตตากับความสงสารคน
จนในที่สุด..คุณจะตกที่นั่งระกำลำบาก



แต่...
ผมจำได้..ยามคุณสารภาพแบบปลงๆ
กับการรู้ทันอารมณ์ตัวเองนิสัยตัวเอง
ที่คุณก็หวั่นเกรงเช่นกัน
จนกระทั่งยังเคยย้อนถามผม
*หากเค้าจนยาก จะเลี้ยงเค้าได้มั้ย
เค้าใช้เงินน้อยมากไม่กี่บาทเอง
และ..
ผมเองยังตอบแบบหัวเราะๆไป
สงสัยต้องไปบิณฑบาตรมาเลี้ยง..



และ..
มารู้ในภายหลังว่า
คำนี้..ทำให้คุณนอนหลั่งน้ำตาระริน
ด้วยความซาบซึ้งใจ...

คุณบอก..
นี่คือความเป็นมิ่งมิตรทางจิตวิญญาณ
ที่ยิ่งใหญ่ระหว่างคนสองคน
ที่จะพากันร้อยกมลเคียงฝันฝ่าฟันกันไป
ไม่ว่าจะทุกข์ทนยากสักเพียงใด
ก็จะไม่มีวันทอดทิ้งกัน..




วันนี้ผม..เองกลับเดินน้ำตาริน
ในท่ามผู้คนต่างชาติ
ที่ไร้ใครไยดีใครสนใจใคร

คุณรู้ไหม..ผมกลับมาเมืองนี้
มาหากำไลขวัญคู่ใหม่ให้คุณ
แต่มันก็สายเกิน
เมื่อผมมัวแต่เพลินวุ่นวายกับภาระกิจสำคัญ
กับวารวันที่ผ่านมา..

จนกระทั่ง...
คิดว่าแค่เรื่องกำไล นั้นคุณคงรอได้



ใช่..คุณรอได้....!
แต่...
กับ...ร่างไร้ลมหายใจ...แทนที่..
ไม่มี..รอยแย้มยิ้มยินดี 
ไม่มี..เสียงเริงร่าแบบเด็กๆที่แสนบริสุทธิ์ใส
ไม่มี..คำซึ้งใจยามได้รับของแสนรักแล้วถูกใจ...



จะเหลือก็เพียง..
*รอยอาลัย* ประทับตราไว้ในใจอันลึกล้ำ
ถึง...ทุกสิ่งอย่างระหว่างเรา
ที่แสนมากมายความทรงจำ
อันแสนงดงามหวานหอม
ถึงน้ำใจ ถึงใจดวงงามดวงให้ของคุณ

ที่ไย..
ในวันนี้ฟ้าดินสิ้นเมตตาสิ้นปรานี..
มาพรากคุณคนดีไป...
จากอ้อมใจรัก อ้อมใจภักดิ์แห่งผม..



ปล่อยให้..ผมหลงทาง อ้างว้าง
เหว่ว้า ตรอมตรม ...
ราวกับ...โลกกำลังจะถล่มทลาย
กำลังจะแหลกสลาย..!
กับ..
ใจดวงแสนปวดร้าวหนาวเหน็บ .เหน็บหนาว จนเกินทน..
และ..
ตราบ..จนสิ้นลม..
คุณไม่มีวันจะมาออดอ้อนวอนขอผม
และร่ำไห้ราวเด็กๆที่สูญเสียของรัก...อีกต่อไปแล้ว




คนดี...
ผมทราบ..ระหว่างเราสองคน
ในกมลนั้น ..
มีแต่เพียรวางว่างรู้การสละออกสลัดออก 
ที่เราผลัดกันเตือนสติมาอย่างยาวนาน
ในท่ามโลกนี้...
ที่..
เราหวังเกี่ยวก้อยกัน
เข้าสู่แดนดินแห่งความฝัน
อันคือ
*นิรันดร์เกษม *ที่แสนยิ่งใหญ่เกินกว่าสิ่งใด



แต่...นี่คือสิ่งสุดท้าย
ที่คุณบอกใบ้กับผม
ว่า..
ดั่งเป็นเครื่องลางบ่งชี้
ให้จิตดวงดีของคุณยัง
มีความฝันความหวัง 
ว่า*สักวันเราจะได้พบกัน*
ราวคือ *นิมิตสัญญา..*
และ...
ถึงมาตรแม้นว่า..คุณจะมิได้หลงยึดมั่นในวัตถุใดเลย
หากทว่า
คุณเชื่อเรื่องวิบากกรรมและการกลับชาติมาเกิด



คุณเชื่อว่า..
คนเรากว่าจะพบพระนิพพานนั้น
อาจจะต้องใช้เวลานานไม่รู้สักกี่กัปกัลป์
และ..
หากเรานั้นจำต้องกลับมาชดใช้วิบากกรรมอีกคราครั้ง
ก็น่าที่จะ..ได้มาพบคู่บุญญาบารมี

ที่จะเป็นดั่งคู่ชีวีคู่ธรรมคู่ทอง 
ที่จะช่วยกันเพียรพาประคอง
ให้พ้นน้ำ..เหนือโลกย์ พ้นโศกสุข 
จนหยุดการว่ายเวียนวน..
ต้องทนกลับมารับวงกรรมวงเกวียน
ที่เวียนทุกข์ให้มิรู้สิ้นสุด



คนดี...นาทีนี้
ผมพลีน้ำตาราวฟ้าร้องไห้
กับ..
เสียงใบไม้สุดท้าย..ที่กำลังค่อยๆผลอยร่วงปลิดปลิวไป
กับสายลมในยามค่ำ..
เสมอ...เสมือน..
ดวงใจผมยามนี้...ที่สิ้นไร้คุณ

เสียงบทเพลงแห่งสายฝนกำลังบรรเลงกระหน่ำ 
จนราวกับ..
หัวใจผมกำลังร่ำไห้.. คล้ายจะหลุดลอย....ตาม...!

.....................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5719.html

RHYTHM OF THE RAIN The Cascades 



Listen to the rhythm 
Of the falling rain
Telling me just what a fool
I've been
I wish that it would go,
And let me cry in vain,
And let me be alone again
The only girl I care about
Has gone away
Looking for a brand new start
But little does she know
That when she left that day
Along with her she took
My heart
Rain please tell me now
Does that seem fair
For her to steal my heart away
When she don't care
I can't love another when
My heart's somewhere far away
The only girl I care about
Has gone away
Looking for a brand new start
But little does she know
That when she left that day,
Along with herShe took my heart

Rain won't you tell her
That I love her so
Please ask the Sun to set
Her heart a glow
Rain in her heart
And let the love we knew
Start to grow
Listen to the rhythm 
Of the falling rain
Telling me just what a full
I've been
I wish that it would go,
And let me cry in vain,
And let me be alone again
Oh, listen to the falling rain
Pitter Patter Pitter
Patter,Oh, Oh, Oh,
Listen, Listen,
To the falling rain
Pitter Patter Pitter
Patter,Oh, Oh, Oh,
Listen, Listen,
To the falling rain
Pitter Patter Patter
Patter,Oh, Oh, Oh,... 







เสียงสายฝนสายฝัน..สวรรค์..ในดวงใจ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด