30 มิถุนายน 2548 15:59 น.

ใต้ร่มเงาบุญ!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song28.html
(ใต้ร่มมลุลี)



กับปลายฝนต้นหนาวหนึ่งผ่านมา
ที่ฟ้าดินเป็นใจ...
ฤาแกล้งลวงหลอนหลอกใจให้ผมติดกับ*กับดัก*
ในทุกข์พันธนารักก็มิอาจหยั่งรู้ได้..



ในวันที่
ฟ้าเศร้าฝนสวยพรำฉ่ำเย็นไปทั่วทั้งราวฟ้ากว้าง
และ...
พาให้ผมมายืนพิงกราบเรือเฟอรี่ลำใหญ่
อย่างอ้างว้างเหว่ว้าในท่ามกลางสายฝนพรำ...ลำพัง



ผมยืนนิ่งงันไปกับฝน และฝันงามเงียบ
ดูดวงดอกฝนพร่างโปรยโรยไปทั่วทั้งผืนน้ำทะเล

ที่ณ..บัดนี้
เริ่มกลายเป็น
*ทะเลดอกไม้ฝนดอกไม้ฝัน*พรายพร่างกระจ่างใจไปทั่ว

ซึ่งราวกับจะปลอบประโลมใจให้งามไสวไปอีกแบบ



ให้ใจดวงนวลละมุน
ยิ่งกรุ่นซาบอาบซึ้งแสนสุขใจ
ไปกับธรรมชาติ
ที่แสนยิ่งใหญ่ในยามนี้ที่หาดูได้ยากยิ่ง!




ในเรียวฝนพร่าง...
ในว้างเวิ้งกลางทะเลอ่าวไทย
ที่ลึกล้ำเขียวใสดั่งมรกตน้ำงามเนื้อดี



ใจดวงนี้ของผมกลับสุขว่าง
ไปกับความงามอ้างว้างของเวิ้งน้ำจรดฟ้าตรงหน้า

ที่กำลังถูกแตะแต้ม
ให้พร่าเลือนด้วยเงาฝนพราย

คล้ายฉากแห่งสวรรค์
ในม่านหมอกดวงดอกไม้คลี่คลุม
ให้แสนนวลนุ่มทาบทาด้วยสีเทาทึมไปทั่วทั้งท้องน้ำผืนฟ้า



ผมปล่อยให้ละอองฝนปราย
มาพรายพลิ้วสัมผัสใบหน้าคล้ำคล้ามแดด

ที่ใครใครชอบหันมามอง
และ
มักพากันคิดว่าช่างคมเข้ม
สมกับเป็นชายชาตรีลูกน้ำเค็มแดนใต้



หากทว่า ...
ใครเล่าจะหยั่งรู้ว่า

ณ ..ภายใต้ใบหน้าอันแสนสงบงันของผม

มีดวงใจอันแสนอบอุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน
ซ่อนซุก สุขซึ้ง  ซุกอยู่ในทุกอณูแห่งลมหายใจ
ยามได้สัมผัสไพรวัลย์ขวัญงามแห่งธรรมชาติ..



และ...
ภายใต้เปลือก
อันแสนทรนงคงมั่นอย่างชายชาตรี
ที่มีเรือนร่างราวนักกีฬา 
ผู้รักกีฬากลางแจ้งทุกชนิดนานมามานานปี



จะมีก็เพียงแค่คนชิดใกล้...ไม่กี่คนเท่านั้น
ที่รู้จักกมลขวัญ แท้จริงของผมดี

คนที่พยากรณ์ชีวิตจิตวิญญาณผมได้แม่นยำราวหลับตาเห็น



และ
ใครคนนั้น
สองคนนี้..คือ..*แม่พ่อ..ผู้แสนมีพระคุณ*

ที่ก่อร่างการุณย์
ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูผมมาเอง
ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนให้เติบใหญ่มาถึงในวันนี้



คุณ..แม่ผม..ที่มีชื่อแสนซึ้งแสนเก๋ไก๋
ว่า*เพชรนวล*
คลับคล้ายคลับคลา
จะเลียนแบบชื่อนางเอกตำนานหนังไทย

ผู้มีดวงตางามพราวราวน้ำผึ้งรวง
*คุณเพชรา  เชาวราษฎร์ *

ที่ผมเกิดไม่ทันได้ดูและติดตามชม
หากทว่า
เคยเห็นเพียงภาพเธอที่แสนงามมาก
ในฉากภาพยนต์ที่ถูกนำมาฉายย้อนอดีต



และ
เธอคนดี..
ที่มีจิตงามพร่างนวลใส..ไสว..ดั่งเพชรแท้
ผู้เสียสละต่อจิตวิญญาณความเป็นศิลปินจริงๆ

ที่เธอยอมเททอดถอดใจ
แสดงภาพยนต์ไทยมากมายหลายร้อยเรื่อง



และ
ในยามบั้นปลาย
เพราะแสงไฟจากการถ่ายทำทั้งวันทั้งคืน
อย่างหามรุ่งหามค่ำมาอย่างนานปี
ที่ยังไม่ทันสมัย

ทำให้นัยน์ตาแสนงามราวหยาดน้ำผึ้ง
ของเธอจำมืดบอดลง

และ
ทำให้เธอหันหลังลาจากวงการ
โดยมิเคยออกมาปรากฎร่างอีกเลย



ฝากเพียง
ตำนานฝัน
ตำนานรัก
ตำนานแห่งความอมตะ
ของคำว่านักแสดงผู้หาญกล้าจนตราบนาทีสุดท้าย

ไว้ให้โลกมายาได้เล่าลือ อย่างนับถือศรัทธา
ในความสามารถแห่งค่าคนศิลปินไทย
.................



และ..
สำหรับผม..
ผู้หญิงงามใจอย่างหยาดฝนและ
ราวมีเพชรอัญมณีอยู่ณ..ภายใน
ที่คอยส่องนำทางใจผมเสมอมา
ต้องคนนี้เลย

*คนที่ชื่อคุณเพชรนวล*

ที่คือนางใจนางในฝัน
อันจักหาใครมาแทนที่ได้ไม่ในปฐพีนี้
จนตราบวันตายเลยทีเดียว



เธอคือเทพีไพรเทพีใจ
ที่ผมชอบกลับไปซุกร่างใจในอ้อมตัก
อันจักหอมกรุ่น
หวานละมุนไปเป็นนิรันดร์รักราวทารกน้อย




มาตรแม้น..
ผมจักเติบใหญ่เป็นหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่

ที่ใครๆพากันชมว่ารูปงามนามเพราะ
มีหน้าที่การงานตำแหน่ง
แสนเหมาะเจาะเหมาะสม
ที่ต้องรับผิดชอบ
ในระบบราชการให้แสนก้าวหน้าไปไกล
ได้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นถึงหัวหน้าคนแล้วก็ตามที



ผมก็ยังกลับชอบราตรี
ที่ได้นอนหนุนตักเธอ
ฟังดุเหว่าร้องเรไรร่ำ

มาฟัง...เธอเล่าโน่นนิดนี่..หน่อย
ย้อนรอยถอยหลังไปยังยามวัยเยาว์




ที่ผมยังเแสนขลา
คอยสร้างเรื่องวายวุ่นให้เธอว้าวุ่นใจมิรู้จบมิรู้สิ้น

ที่มาในวันนี้ ถึงวันนี้
ยามที่เธอ..พบผม 
เธอจะหัวเราะเสียงใสอย่างดีใจ 
ผสานเสียงกับผมที่ตลกตัวเองไม่หาย


ว่าไยช่างมากมายสร้างวีรกรรมวีรเวร
ตามประสาเด็กบ้านนอก
ให้เธอแสนตกอกตกใจเล่น

อย่างเช่นหนีไปเล่นน้ำริมไพรรกโตรกธาร

ให้น้ำจากเทือกภู
ที่กำลังบ่าหลาก
พัดร่างลอยละลิ่วผลุบๆโผล่
แล้ว
แทบโงหัวไม่ขึ้นเอาชีวิตแทบไม่รอด
หากไม่ได้น้าชาย
คนที่ชอบผิวปากเพลงครูทูล ทองใจ
ในยามอุษาสางหวานแว่วแข่งกับเสียงดุเหว่าไพร
คนที่ปอดแข็งแรงดำน้ำเก่งปานปลาไปช่วยไว้ได้ทัน



และ
ในยามเข้าไต้เข้าไฟ
ที่เธอมักชอบจุดตะเกียงทองเหลือง
ให้แสงเรื่อเรื่องส่องแข่งกับแสงดาวรำไรๆ
ที่ทอทอดลอดแมกไม้ไทยดอกอวลหอม
มาให้พลอดภิรมย์ชมชื่นฉ่ำระร่ำรินระรื่นรัก
แล้ว
มานอนพักนอกชานพร้อมหลับไหลนิทราไปกับฝันดี



ก่อนที่
จะให้ผมนอนหนุนตัก
ฟังเรื่องราวตำนานรักอันแสนอบอุ่นเป็นสุขใจ

และ
ใช้มืออันนวลใยลูบไล้ศีรษะผมไปมา
ราวกำลังเห่กล่อมถนอมร่างเด็กน้อย
ให้นอนหลับฝันดี
ไปกับราตรีที่ดาวดวงยังระดะ
พากันพร่างพริบเต็มราวฟ้า



กับ..
พรายดวงจันทรา
ที่พากันมาหยาดสายแสงแสนหวาน
ลงหว่านพรมห่มนวลทองไปทั่วทั้งผืนนา
ณ..กระท่อมไพรกระท่อมใจกระท่อมใบไม้ของเรา 

ที่คงหางามใดในหล้าโลก
ให้แสนสุขสงบมิพบเจอแล้ว
ที่หามีไม่แล้วในทุกฉากตอน
ของชีวิตนิดหนึ่งน้อยนี้

ที่ผมผ่านทางพานพบเรื่องราวมาอย่างโชกโชนมากมาย



ให้ดวงวิญญาณและเลือดในร่างผม
ที่ราวถูกหลอมบ่มเป็นคนมาได้
ก็ด้วยธารน้ำรักหยาดน้ำนมอันอุ่นอิ่ม

*ด้วยพลังแห่งรักนี้ที่แม่ให้มิรู้สิ้นรู้จบดั่งหัตถาครองพิภพของเธอ*



จน..
ราวมองตาก็รู้ซึ้งไปถึงบึ้งใจกันและกัน
ไม่ว่าในยามใด

ที่ผมจะไหวหวั่นขวัญหายมากมายดีร้ายมากรายกล้ำ
กับทุกรสชาติเรื่องราวเผ็ดร้อน
ของลูกผู้ชายนักสู้...ผู้ไม่ยอมพ่ายในชีวิต



เธอ..มักจะกระซิบบอก
ถึงความเป็น*เด็กชายชาวนาผู้ช่างฝันของผม*
ที่ราวเป็นคนสองร่างในหนึ่งเดียว




บางคราบางเวลาหลังซุกซน
มักจะชอบปลีกตนลำพัง
ทำตัวแผกแปลกแยกจนน่าห่วงใย
ชอบไปนั่งเงียบๆ



และ
ราวกับถอดใจไม่รับรู้รับฟังเรื่องราวใดใด
มีเพียงโลกลำพัง
กับเจ้าลูกวัวเพื่อนยาก
ที่พ่อยกให้...
ตอนอายุได้สิบขวบพอดิบพอดี..เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด



ที่จนบัดนี้จักหาสิ่งใดมากมีค่าทางใจ
มาเทียบเทียมยิ่งใหญ่แสนงาม
มิมีวันเทียมเท่า
กับยามที่ได้เจ้าลูกวัวตัวน้อยนัยน์ตาใสซื่อ
มาไว้ในครอบครอง



เพราะราวพ่อไว้ใจให้รู้รับผิดชอบดูแลสิ่งมีชีวิตอันยิ่งใหญ่

ที่ต่อมาได้ตามติดชิดใกล้ราวเพื่อนยากผู้รู้ใจ
ไม่ว่ายามจะกินจะนอน
หรือยามเศร้าเสียใจกับใจใครใจคนมากมาย
คล้ายมีเพื่อนคอยปลอบประโลม
.......................



แม่บอกว่า...
มีบางสิ่งที่สื่อสะท้อนนวลใจของผม..

นั่นคือภาค..*ความเป็นคนศิลปิน*
ที่รักความงามในทุกสิ่งธรรม ธรรมชาติ

ที่ราวกับว่า
คุณตาผม..
ยังทิ้งเชื้อเหลือกรรมพันธุ์มโนราห์เก่า
ถ่ายทอดสายเลือดเอาไว้ให้




ที่เรายังคงมีการไหว้ครูครอบครูบูชาครูเพื่อสืบทอดอยู่ทุกปี

เพราะ..
ผมจะรักเสียงดนตรีไทย
เสียงปี่กลองฉิ่งฉับตับโหม่งที่แสนเร้าใจ
ให้อยากขยับร่างเคลื่อนไหวไปตามอย่างยากบังคับใจยามได้ยิน




และ
แม่บอกว่า ...
ผมมีความเป็นลูกผู้ชายชาติเพชร
ใจเด็ดดั่งเสือเมื่อเจอพบคนร้าย

ที่จักไม่ยอมก้มหัวให้กับความไร้ยุติธรรมหากใครรังแก
ราวนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้บนสังเวียนชีวิต  มาจนถึงทุกวันนี้



หากทว่ากับคนดี
ผมจะมีเพียงด้านละไมละมุน
อันแสนพร่างใสอ่อนโยนมากท้นล้นน้ำใจเมตตา
ที่คอยท่าแต่จะหลั่งริน
โดยเฉพาะกับผู้ยากไร้..




ผมจำได้อย่างตรึงตรา..
ถึงอีกภาพหนึ่ง..
ที่คิดมาคราใดแสนซึ้งสุขใจ
ยังสวยใสสว่างงามในทุกโมงยามชีวิต
มาตรแม้นว่าในวันนี้.
แม่คนดี เลิกทำไปนานแล้ว



ภาพที่แม่ชอบอุ้มผมไปนั่งหน้ากระจกเงาโค้งมน
*โต๊ะเครื่องแป้งโบราณ*

และ
ค่อยๆหวีผมอันแสนบางหยอยๆให้ผม
พลางจะแนบแก้มแนบคางลงชิดและหอมเบาเบา
และ
จะสะกิดให้ผมดูเงาเราสองที่ราวเครื่องหน้าพิมพ์เดียวกัน



ผมตราจำภาพนั้นมาราวมิมีวันลืมเลือน

ภาพผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งนวลผ่องแก้มอิ่มใส
ที่ริมไรผมมักมีดวงดอกพุดซ้อนคอยเคลียคลอ
อ้อนหวานอยู่ริมแก้มตลอดเวลาในแทบทุกราตรี



และแถม
แตะแต้มด้วยรอยยิ้มพริ้มเพราพักตร์
ที่ช่างแสนงามนักงามหนามากมีเมตตา
และ
มีดวงตาราวหยาดน้ำผึ้งรวงคลอคลองตลอดเวลา



เธอ..คนที่ชอบสอนผมว่า
ให้ตื่นมาแล้วยิ้มกับกระจกทุกเช้า

มิใช่แค่เฝ้าหลงมายา
เพียงเพียรถามว่าใครงามเลิศหล่อล้ำในปฐพี



หากทว่า...ให้ดูเพื่อแย้มยิ้มยินดี
ให้พลังใจกับตัวเอง

ว่า...
เรายังมีลมหายใจแสนดีผ่านไปอีกหนึ่งวัน

ให้เพียรขยันสร้างความดีพลีเพื่อผู้คนผองชน
ใช่รักความสบายเพียงครอบครัวตนแต่ฝ่ายเดียว



อย่ามัวเฝ้าหลงรูปเงา
ที่จักเฉาราโรยไปตามวัฎฎะสังขาร

อันมิควรพลาดหลงเฝ้าประมาทลืมตน
ใช้ชีวิตให้สูญเปล่าเปลืองไปวันวัน



บางครั้งเธอ..จะเฝ้าบอก

ลูกรัก....
ดูดวงตาเจ้าสิ..
ดวงตาที่มีพลังชีวิต
แสนมองโลกสดชื่นสวยใสแสนงาม

จำไว้นะคนดี นะดวงใจ 
*ว่าดวงตาคือหน้าต่างแห่งหัวใจเรา*



*ภายภาคหน้าเจ้าพบใครไม่ว่าจะดีร้าย
ให้เจ้าลองพินิจหมายในแววตา
เพราะ....
จักมีลางบอกว่าคนผู้นั้นคิดสิ่งใด
ศาสตร์นี้จะจริงหรือไม่เจ้าลองศึกษาหาประสบการณ์ดู*



สำหรับแม่
รู้สึกจะดูคนไม่ผิด..เมื่อนำมารวมพินิจตามจ๊ะ
ราวประยุกต์ตามลักษณะโหวงเฮ้งของคนจีน
และ
เข้ากับสุภาษิตไทยเราได้อย่างดีทีเดียวเชียว

ที่บอกว่าคบคนให้ดูหน้าซื้อผ้าให้ดูเนื้อ 
สำหรับแม่เผื่อไว้อีกสิ่งไซร้
คืออย่าลืมดูเงาในดวงตาด้วยเล่าเจ้าดวงใจเจ้าจอมใจ



และ
สำหรับเจ้า..
แม่เฝ้ามองในเงาตาลูกรักมานานแสนรู้ไหม
และ
แม่ได้พบกับความขยันกตัญญูซื่อสัตย์
และ
ความหนักแน่นมั่นคง
ที่ไม่ว่าเจ้าทำการใด
จักพึงสำเร็จดั่งประสงค์จำนงหมายเลยทีเดียว 



เงาแห่งความรักเดียวใจเดียว
รักแสวงหาความสันโดษเปล่าเปลี่ยว
ราวนักพรตผู้รอปลีกวิเวกบำเพ็ญบุญ

เงาแห่งความสงบงามล้ำลึก
รู้สึกแผกคิดพิเศษพิสุทธิ์ลึกล้ำเกินคนธรรมดา



คนดี...
แม่เพียงห่วงใยห่วงใจเจ้า 
แค่คราวพบเหว่ว้าเพียงนั้น

หากเจ้ารู้ทันเท่าเฝ้าอดทนพ้นข้ามผ่านไปได้
 เจ้าจักได้เป็นยอดคนนายคน
*คนเหนือโลกย์นะลูก*อย่าลืม
..............



นานทีเดียว
ที่ผมเฝ้าดูเกลียวชล
แล้ว...
เฝ้าย้อนรำลึกนึกถึงคำสอนแม่



ที่ย้อนกลับมาสอนสัจจะใจบทเรียนใจ
จนถึงในยามนี้นาทีนี้

ที่มาตอกรอยจำย้ำรอยใจให้ไหวหวนครวญหา
เธอคนดีอย่างเหลือใจ
นางในดวงใจไพรเทพีรักนิรันดร์ของผม



ที่ผมกำลังคิดถึงเธออย่างมากมายล้นใจเสียนี่กระไร
ในทุกยาม
ที่ผมดายเดียวเดียวดายลำพัง..อย่างในยามนี้

ที่คำสอนเธอจะผุดพร่าง
มาให้กระจ่างใจมานำทางใจ
ราวกับมีหยาดน้ำค้างใสที่คอยพรมริน
.................



ผมรู้สึกหนาวนิดนิด 
จนต้องกระชับเสื้อแจ๊กเก๊ตตัวนอก..ให้กระชับร่าง
พลางเอามือล้วงซุกไปในกระเป๋าด้านข้างหวังให้อบอุ่น



หากแล้ว
ผมกลับต้องพบบางสิ่งบางอย่าง

ที่ทำให้ผมอดยิ้มอย่างละมุนใจเสียมิได้
*ดวงดอกพุดซ้อนพุดไพร*
ที่นอนนิ่งซ่อนซุกมาในกระเป๋าหลายวันแล้ว

จน ณบัดนี้กลีบพลันใกล้จะร่วงราโรย
เป็นเหลืองนวล



 ผมจำได้ดี
 ถึงวันแรกที่นัดมาประชุมกับมิ่งมิตรผองเพื่อน
ที่เกาะแห่งนี้อย่างไม่เป็นทางการกัน

วันที่ฟ้าแดดทอสวยกระจ่างสว่างไสวไปทั่ว
วันที่ผมก้าวเท้าและกำลังจะเดินขึ้นไปบนอำเภอ



และ
ได้กลิ่นหอมแผกของดวงดอกพุด

ที่กำลังพรายหอมอยู่ริมทาง
อย่างพร่างพราวดวงดอกดก
ให้ผมอดแบ่งเด็ดดมมาพรมจูบไม่ได้แค่สองสามดอก

และ
เก็บอวลไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ก่อนพาตัวเองไปพบใครต่อใครที่เฝ้ารอ
และ
มาถึงวันนี้ที่ผมเกือบลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ



และ.....!!!!!!!
ที่
กำลังพาให้หัวใจผมไหวกระตุก
พร้อมพลัน...
กับกลิ่นดวงดอกพุดซ้อน

ที่แทรกซ้อนอย่างอวลอ่อนหวาน
ผ่านสายฝนลมพร่างที่รำเพยมา
ให้ผมพาแปลกใจจนต้องหันไปหาที่มา




และ
เห็นร่างๆหนึ่งในเรียวตา
กับเสี้ยวหน้าอันแสนงามนวลนุ่มละมุนเศร้า

กับฟ้าฝนปลายฤดูกาล
ที่กำลังพร่างหว่านใส
ใส่ท้องน้ำทะเลสีครามอย่างมิสิ้นไร้แรงรัก



ร่างที่ดูสว่างไสว
ในท่ามฟ้าหม่นมัว
บนระเบียงเรือนี้ที่มีแค่เราสอง

เธอ..ค่อยๆหันหน้ามาอย่างช้าช้า
*ตาเราสบตากันเพียงแวบดียว*




และ
หากดวงตาภายในผม
มิได้หลอนลวง

ให้ผมได้พบมหัศจรรย์ใจ 
ปาฎิหารย์รักยิ่งใหญ่ใน*รักแรกพบ*เข้าให้แล้ว



และ
พลัน..!!!!
*โลกแห่งรักรอของผม..ราวชะลอหยุดหมุนในนาทีนั้น*

เมื่อผมหันเห็น
ริมไรผมเรียวแก้มหวานใสหวานเศร้างามสงบนั้น

มีดอกพุดซ้อนเสียบแซมประชันประดับ 
ราวกับภาพผู้หญิงย้อนยุคโบราณ



คำแม่สอนหวานแว่วแผ่วมาในเวิ้งฟ้าเวิ้งน้ำกว้างไกล

*คนดี
เจ้าจงดูที่ดวงตานะ
หากว่าพบใครในปรารถนารอ..ราวชั่วกาลกัป์ปกัลป์*


*เจ้าเท่านั้นที่จะมีฌาณหยั่งรู้ดีกว่าใคร
ว่าเธอ..ใช่หรือไม่  คือหญิงในดวงใจศรัทธา*

ที่จักพาจิตวิญญาณเจ้าลอยผ่านภพ
จักจบด้วยสุขนิรันดร์แบบคู่ธรรมคู่ทอง

ที่ประดุจดั่งพรพรหมประทาน...!!!!!!!
..........................



รอติดตามภาคสองค่ะ
ที่พระเอกและนางเอกมีบ้านไร่ริมชายภูแสนงาม
และเกิดอะไรขึ้น





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song28.html
ใต้ร่มมลุลี

ญ...โอมมลุลี ร่ม นี้ มืด มน
ช้ำเหลือทน อับ จน หัว ใจ
ต้อง พราก รัก ไป ภาย ใต้ ร่ม ไม้
ของ เจ้า นี้

ช...ลืมรักที่หลั่ง ลง ฝัง กับใจ
ฝังฝากให้ ใต้ ร่ม มลุลี
จง ลืม รัก พี่ อย่ามีฤดี อาลัย ต่อกัน

ญ...ยาก เย็น กรรมหรือเวรอันใด
นำ ชัก ให้ ดวงฤทัยโศกศัลย์

ช...พี่ ตรม สุดภิรมย์รำพัน
บุญไม่เปรียบเทียบทัน ร้าว ราน ฤทัย

ญ...โอ้รักที่ผ่าน ดัง ฝัน ชั่ว คืน
ครั้นพอตื่น กลับ คืน หาย ไป

ช...โธ่ อย่า ร้อง ไห้
พลอยให้ดวงใจ ร้าวระทม

ญ...ยาก เย็น กรรมหรือเวรอันใด
นำ ชัก ให้ ดวงฤทัยโศกศัลย์

ช...พี่ ตรม สุดภิรมย์รำพัน
บุญไม่เปรียบเทียบทัน ร้าว ราน ฤทัย

ช...โอ้รักที่ผ่าน ดัง ฝัน ชั่ว คืน
ญ...ครั้นพอตื่น กลับ คืน หายไป
ช..โธ่ อย่า ร้อง ไห้
พลอย ให้ ดวง ใจ ร้าวระทม

ช-ญ...ร่มมลุลี เป็นที่ สุดท้าย
แห่งจุดหมาย น้อง พี่
มลุลี เห็น ใจ น้อง พี่
ว่าสิ้นคืนนี้ น้อง พี่ สิ้น กัน...

				
29 มิถุนายน 2548 08:17 น.

เพชฌฆาตใจ!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1752.html
(เพชฌฆาตใจ)



มาทายท้าเธอคนดีนะที่รัก!
คนเคยภักดิ์รักมั่นมิหวั่นไหว
ฉันยินดีพลีพร้อมรอเธอประหารใจ
เดินจากไปอย่าหันมา..ถ้าเบื่อแล้ว..!!

เพราะใจฉันมันดีเกินไปจะทำร้าย
คนชิดใกล้ด้วยดวงใจใสดั่งแก้ว
หากใจเธอเห็นฉันไร้ค่าแล้ว
ไม่เหลือแววอาลัยก็ไปเลย....

ใจดวงนี้ชินชากับรอยช้ำ
ใครจะย้ำกี่เจ็บก็เฉยเฉย
คนไร้ใจไม่มีแล้วรอใครเชย
มันชาเฉยชอบเงียบงามตามลำพัง

อย่าเยื่อใยเบื่อเบื่อแล้วอยากอยาก
ตัดใจพรากหาคนใหม่ดั่งใจหวัง
แทนที่ฉันไปตามฝันอย่าหยุดยั้ง
คนที่หวังจะดีกว่านะดวงใจ

ฆ่าฉันเสียวันนี้ดีกว่านะที่รัก
อย่าฝากภักดิ์ให้พลีหลงหวั่นหวามไหว
ลงมีดเชือดทาเกลือทั้งเนื้อใจ
แล้วหันหลังลาไปอย่าไยดี

ไม่เสียใจครางครวญรอยหวานเจ็บ
แค่หนาวเหน็บสาสะใจจบแค่นี้
ตราบวันตายลมหายใจสุดท้ายที่ฉันมี

ขออโหสิ..พลี
เลือดภักดิ์ทาสรักเธอเพียงชาติเดียว!นะเจ้าจอมเพชฌฆาตใจ..!!!

.............



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1752.html

เพชฌฆาตใจ ....ชินกร ไกรลาส 

น้อง เอ๋ย
ใครเขาเคยเหมือนพี่บ้างไหม
ช้ำ ช้ำ เท่าไหร่ พี่เป็นแผลใจ
ใคร จะเห็น
เจ็บเท่านี้เจ้ายังทรมาน
หรือเป็นพรานล่าใจ
ผลาญหัวใจใครเล่น
หรือเจ้าเป็นเพชฌฆาต
ที่เชี่ยวชาญ
โปรดฆ่าพี่เสีย
อย่าอ้างเอ่ยความสงสาร
จงประหารถ้าแม้ว่าเจ้าไม่รัก
ฮืม ฮืมฮืมฮืมฮืมฮืม

อิเหนา เอ๋ย
เคยรักนุชบุษบา
พี่ หลงไหลยิ่งกว่า
พี่สัญญาได้ ในเรื่องรัก
ปวดและช้ำในดวงฤดี
เหมือนดังมีมีดคม
ฝังใจจมเจ็บหนัก
รักของเจ้าฆ่าพี่อย่างเลือดเย็น
พี่เจ็บดวงใจคงไม่มีใครเล็งเห็น
เวร นี่เวรเธอเห็นพี่เป็นเช่นไร
ฮืม ฮืมฮืมฮืมฮืมฮืม...
				
28 มิถุนายน 2548 13:46 น.

น้ำผึ้ง เสน่หา ลดาวัลย์!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song65.html
ความรักไม่รู้จบ...




ขอรจนากลอนหวานหวานสักบทหนึ่ง
เจือน้ำผึ้งเจือความรักและความฝัน
เจือเสน่หาสวาทหวามราวเถาวัลย์
มารัดขวัญมาร้อยใจในร่มรัก

มากระซิบริมแก้มแถมจูบหอม
ฝากดอกไม้ให้ดอมด้วยพลีภักดิ์
ฝากสร้อยอักษราราวโซ่ทองมาคล้องรัก
ฝากอ้อมตักมาภักดีมาพลีใจ

น้องหรือพี่ได้พลีจิตระบายฝัน
ได้ผูกพันผ่านเดือนปีพบหวามไหว
ได้มอบรักมอบขวัญกำนัลใจ
ฝากมาลัยวางริมหมอนนอนฝันดี

โลกแห่งนี้ใช่เลิกหมุนเสียเมื่อไหร่
ทิวาวัยราตรีหอมพร้อมพรากหนี
รู้ให้รักให้น้ำใจแบ่งไมตรี
รจนาพลีฝากโลกลบโศกราน

เธอและฉันวิบากรักถึงจักพบ
หวังอย่าจบด้วยเศร้าจงกล้าหาญ
เคียงข้างใจเก็บดอกไม้ไพรบานตระการ
มอบคนรานใจร้าวได้เคล้าคลอ

มีแสงเทียนเสียงธรรม ธรรมชาติ
พิไลพิลาสนำทางอย่างมิท้อ
มีกระท่อมแสงทองให้เอนหลังฝังฝากรอ
แล้วก็ขอมีใครสักคนเคียงข้างมิร้างไกล

ราตรีไหนไร้ดาวอย่าหนาวนะ
รู้นะจ๊ะดาวในใจยังไสว
ดาวแห่งรักเดือนแห่งมิตรภาพตราบสิ้นฟ้านำทางใจ
และ
รู้ไหมในร่มรักเรือนไทยแห่งนี้มีแต่รัก...รัก..รัก..ภักดิ์...ภักดิ์...ภักดิ์.!!!!!!!




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song65.html

ความรักไม่รู้จบ..


ถึงจะอยู่สุดหล้าฟ้าดิน
แม้จะสิ้นสิทธิ์และเสรี
แต่วันนั้น ใจฉันยังคงที่
ความรัก ความภักดี ไม่มีสิ้นสลาย
ถึงโลกแตกแหลกเป็นผงคลี
รักเต็มปรี่ ไม่มีรู้คลาย
ชีพถูกฝัง ความรักยังเวียนว่าย
เคียงคู่เธอมิคลาย
ฝากวิญญาณ ไว้เตือน
ด้วย ความรักไม่รู้จบ
แม้ผืนดินกลบ ยากเพราะความรักเลือน
จะเนิ่นนาน กี่วันกี่ปี กี่เดือน
ดินฟ้าจะคล้อยเคลื่อน ใจมิเลือน รักเธอ
ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง
ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ
จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ
เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด

ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง
ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ
จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ
เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด...



				
28 มิถุนายน 2548 10:25 น.

สุธาธารแห่งรัก!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1665.html



วันนี้อากาศดีมาก
ฟ้าสว่างไสวแจ่มกระจ่าง

พลอยพาให้หัวใจผมดีตามไปด้วยกับดินฟ้า
จนต้องฮัมเพลงลุกทุ่งออกมา
ตามวิทยุที่เปิดทิ้งไว้
พาให้สราญใจเสียไม่มี..

ตอนที่กำลังฟอกสบู่อาบน้ำ
และ
ให้ผมโยกซ้ายย้ายขวา
พร้อมกับใช้ฝักบัวราวไมค์แสนดี
ซัดสาดส่ายไปมาอย่างเมามันส์
ไปตามดนตรี
ให้ชีวีแสนสนุกสุขใจ
เพื่อเตรียมตัวพร้อมไปทำงาน...






http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1665.html
หนุ่มนารอนาง

เมื่อถึงเดือนเมษา
หนุ่มบ้านนานั่งฝัน
คอยคนรัก คอยคนรักจากกัน
สิ้นสงกรานต์ น้องก็พลันลืมพี่
เธอทิ้งนาทิ้งไร่ จดหมายไม่มี
ใยน้องมาลืมพี่ ที่ท้องทุ่งนา
ดนตรี
เฝ้าหลงคอย แต่สาว
พี่หนาวใจหนักหนา
ยามเมื่อฝน ยามเมื่อฝน หล่นมา
หนุ่มบ้านนาหนาวอุราไม่สิ้น
จนฝนลงเดือนหก มวลนกโบกบิน
ใจน้องลืมไปสิ้นถิ่นฐานบ้านเรา
ดนตรี
เดือนเจ็ด เจ้าไม่มา
จะเข้าพรรษา ยิ่งพาใจเศร้า
สาริการ้องครวญมา เบา ๆ
สาริการ้องครวญมา เบา ๆ
ที่ต้นสะเดา พี่เฝ้ายืนมอง
ดนตรี
ผ่านพ้นเลย พรรษา
หนุ่มบ้านนา ยิ่งหมอง
มองดูน้ำ มองดูน้ำ เอ่อคลอง
เหม่อเหลียวมอง
น้ำในคลองไหลเชี่ยว
ลมพัดมาใจสั่น พี่ฝันอยู่เดียว
มองเห็นตาล ต้นเดี่ยว
เหลียวหา แต่นาง
ดนตรี
เดือนเจ็ด เจ้าไม่มา
จะเข้าพรรษา ยิ่งพาใจเศร้า
สาริการ้องครวญมา เบา ๆ
สาริการ้องครวญมา เบา ๆ
ที่ต้นสะเดา พี่เฝ้ายืนมอง
ดนตรี
ผ่านพ้นเลย พรรษา
หนุ่มบ้านนา ยิ่งหมอง
มองดูน้ำ มองดูน้ำ เอ่อคลอง
เหม่อเหลียวมอง
น้ำในคลองไหลเชี่ยว
ลมพัดมาใจสั่น พี่ฝันอยู่เดียว
มองเห็นตาล ต้นเดี่ยว
เหลียวหา แต่นาง... 
 
  
.........




เมื่อคืนหลังเล่นแบทมินตันเสร็จ
ผมดูทีวี การอภิปรายในสถา
ที่น่าสะดุ้งหากมีการคอรัปชั่นกันจริง

และ
คงเป็นหนังเรื่องยาว
จนกว่าพระเอกฝ่ายค้านขี่ม้าขาว
จะค้นพบว่าใครคือผู้ร้ายหมายกินเมือง
และ



ผมได้ดูรายการ*คุณพระช่วย*
ที่แสนประเทืองประทับใจ
ที่น่าติดตามมาก
เพราะ
เกี่ยวกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทย
และที่สำคัญนั้น



มีการนำเอาบทประพันธ์จาก

*ท่านบรมครูกวีศวีแห่งแผ่นดิน*
บรมกวีที่เพียรสร้างสรร
ฝากพรสวรรค์ผลงานเอาไว้มากมาย
จนกลายเป็น*มรดกโลก*

ผลงานงามของ*ท่านสุนทรภู่*
ที่มาจากหลายเรื่องราว
มาเรียบเรียงให้คุณปาน ธนพร 
มาขับร้องได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง



ผสานผสมกับการบรรเลง
ของวงดุริยางค์ทหารเรือ หากจำไม่ผิด
และ
มีน้องๆจากธรรมศาสตร์มาเป็นคอรัสให้
.......
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
คำมั่นสัญญา

ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา
แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง
มหรรณพ
พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป

แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส
ทุกชาติไป...
..................



และ
ยังมีการ ประกวดต่อกลอนสด
ซึ่งทำให้ผมอยากกระโดดเข้าไปแข่งด้วย
หากวัยวันมิใช่อุปสรรค์
เพราะเขารับเฉพาะเพียงแต่นักเรียน



และ
ได้ประเด็นจากอาจารย์แม่* อาจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ*

ที่แนะนำให้น้องสองคนคู่แข่ง
ได้จะแจ้งใจเป็นปัญญาวิทยาทาน 
หลังผ่านการต่อกลอน



และ
ก่อนทราบว่าใครคือผู้ชนะ
ที่จะได้ครอบครองกระดานชนวนทองคำ พร้อมเงินสด

ที่น้องๆเด็กๆทุกวันนี้
คงไม่รู้จักพลางจักต้องทำหน้าเหรอหรา
หากพานพบเจอ 



กระดานชนวนที่บ้านผมเคยใช้กัน
พร้อมใช้ชอล์คสีขาวขีดเขียน
เพราะเราคือเด็กไทยไกลปีนเที่ยงนานมา
และส่วนมากแม่พ่อยากจน 

และ
เราต้องหาพืชชนิดหนึ่งชื่อ*ต้นส้มเช้า*
พึชสีเขียวต้นเล็กๆใบอุ้มน้ำ
มาเฝ้าลบยามเขียนเสร็จ

และ
เพื่อนบางคนที่แสนขี้เกียจไปเด็ด
กลับพ่นน้ำลายลบแทนเพราะง่ายดี หากไม่มีใครว่ากัน


กลับมาฟังคำอาจารย์แม่แนะนำ

ว่าการเขียนกลอนนั้น 
หากมีคำบังคับหรือมีหัวข้อเรื่องไว้
เราจักต้องตีประเด็นให้แตก
และ
เขียนให้ได้ตามแนวที่วางไว้
อย่างให้น่าสนใจ 



สำหรับรายการนี้ผมเพิ่งดูคืนแรกเลยนำมาฝาก

หากทว่า
ผังรายการหน้าไม่ทราบ
จะเกี่ยวกับเรื่องไทยๆอีกหรือไม่
ก็จงเฝ้าติดตาม



งานนี้ผมไม่ได้มีเอี่ยวเกี่ยวโฆษณาดอกนะครับ 
นอกเสียจากว่า
อยากให้มิ่งมิตรน้องพี่
ได้ดูรายการดีดีสร้างสรรสังคม 

และ
คงโดนใจคนรักบทกวีรักความเป็นไทย
ที่ยังมีหัวใจดวงนวลดวงทอง
ชอบการขีดๆเขียนๆอย่างเราๆท่านๆ



เช้านี้...
ผมมาถึงที่ทำงานแต่เช้า 
และตอนเดินในซอย
ผมได้ยินบทเพลงหนึ่งราวลอยแว่วมา
ที่
ใครบางคนเพิ่งฝากปรารถนาดี
สอนใจผมไว้ให้ไม่ไหวท้อแท้กับเจ้านาย
ที่นับวันจะใช้ผมราวทาส 
สมัยที่ยังไม่ได้ประกาศอิสรถาพ...!



และทั้งๆที่
บางทีผมก็แสนมากมีเมตตา เพียรท่องเอาไว้
ยามเห็นท่าน  
ทำงานไม่เป็นเอาเสียเลย
ราวยิ่งกว่าคนพิการไร้แขนขาเสียอีก

ที่มีเพียงปากสั่งการ ให้ผมและพี่อีกคนที่ทำงาน
ทำแทนทั้งสิ้นทุกสิ่งอย่าง
แบบไม่ช่วยอะไรเลย
ทั้งๆที่งานง่ายๆเล็กน้อยๆมากมายล้นมือ
ที่พอจะช่วยกันได้



ที่จะทำให้องค์กรยิ่งมากมีค่า
ฝากโลกหล้าให้ผืนแผ่นดินภาคภูมิใจ

ว่ามีผู้บริหารไทยมีทัศนวิสัยแสนกว้างไกล

ใช่มานั่งเช้าชามเย็นเฉื่อย ลากร่างเอื่อยกินๆนอนๆ
เดินว่อนใช้ลูกน้องอย่างเดียว
กับรอเวลารับลูกกลับบ้าน



และ
สิ้นเดือนรับเงินเดือนมากมายอย่างไม่คุ้มค่าลมหายใจ
ที่มานั่งเสียเวลาหายใจทิ้งไปเปล่าๆ



เอาละครับ
เพราะมีใครบางคนร้องเพลงนี้ปลอบประโลมใจผม
 ยามที่ผมกำลังจะเล่นบทแข็งกร้าวประท้วง

เพราะ
บางครั้งคนเรา
หากเพียงเราเออออห่อหมกด้วยไปทุกคำสั่ง
 น้อมคำนับรับฟังและ..ก้มหน้า..ทำทำทำ..เพียงอย่างเดียว



ทั้งที่หัวหมุนจนจะขาดเกรียวผมก็ร่วงเอาๆ
จนหน้าผมชักจะแก่ล้ำหน้าเขาคือหัวหน้าเสียอีกแล้วด้วยนะครับ

เขาก็จักยิ่งไม่เห็นหัว

และ
คงนึกว่าตัวเราคือหุ่นยนต์
ที่แสนจะมีมันสมองชาญฉลาด
สามารถผลิตทุกอย่างตามคำสั่ง..ได้ดั่งใจ


ไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ไม่เหนื่อยไม่เร่งรีบจนโรคเครียดจะถามหา
ให้ปวดศรีษะจิ๊ดๆ
จนต้องกินยาระงับประสาทจนจะตายวันตายพรุ่งหารุ่งไม่พบแล้ว



ดีนะที่ผมยังมีธรรมะ
มาหอมห่มพรมพร่างดับแล้งใจดับร้อนใจ
ให้รู้สลัดตัดออกปลดออกไปเสียบ้าง


รู้วางไว้ที่ทำงานไปเสียเยอะ
ไม่พาใจให้เลอะเทอะด้วยขยะใจมากมายกลับมา

ให้กินนอนไม่เป็นสุขทุกข์ถึงที่บ้าน
ที่จักรุมล้อมจนต้องตรอมใจตาย
ราวกบเขียดหากไม่รู้จัดการใจเราเอง..
.......


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6192.html
เพลงความฝันอันสูงสุด

ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึก ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟัน ผองภัย ด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไข ในสิ่งผิด
จะรักชาติ จนชีวิต เป็นผุยผง
จะยอมตาย หมายให้ เกียรติดำรง
จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา
ไม่ท้อถอย คอยสร้าง สิ่งที่ควร
ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา
ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา
ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป
นี่คือ ปณิธาน ที่หาญมุ่ง
หมายผดุง ยุติธรรม อันสดใส
ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด
ยังมั่นใจ รักชาติ องอาจครัน
โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่
เพราะมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
ยังคงหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย...
.............




บทเพลงนี้
ทำให้ผมสะดุดใจและผมเลยตั้งใจว่า

สำหรับชีวีผมผู้มีอุดมคติอุดมการณ์

จะไม่ยอมพานพ่ายคนไม่ดีในสังคม


ที่จะฝากให้เราท้อแท้จนเบื่อระบบราชการ
จบลงด้วยคนทำงานดี ทำงานเก่ง
ต้องขอลาออกไปประกอบอาชีพกับบริษัทเอกชน
เพราะทนรับเงินน้อยไม่ไหว



ไหนใจจะถูกบีบคั้นด้วยระบบคำสั่ง
ที่ขาดสติสตังและปัญญาจากระดับผู้บริหาร 

ที่ไม่รู้งาน
ผ่านมาเป็นหัวหน้าได้เพราะระบบอาวุโส

ที่ช่างแสนโอ้น่าอนาถประหลาดใจในทิศทางประเทศ
ว่าจะไปทางไหน
จะรุ่งเรืองได้เช่นไรละหนอละนี่
หากฝากอนาคตของชาติที่พิลาสพิไล
ไว้ในมือของคนแบบนี้...ที่ทำงานไม่เป็น



นานๆทีนะครับ
ที่ผมจะอยากหันกลับมาเล่นบทนี้
บทแข็งกร้าว

มาเฝ้าทวงถามหาความยุติธรรม
จากระบบสังคมการทำงานในไทย


ที่ยังมากมายนักให้จักเพียงกุมเป้ากางเกงนบนอบ
นอบน้อมรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว..
ครับ ครับผม ครับครับ คับคับคับผมคับแล้วครับ



เพราะผมนั้น
รักที่จะทำงานด้วยความยุติธรรม

และ
รักการทำงานแบบร่วมด้วยช่วยกัน
ที่จักผสานสามัคคี
ให้หน่วยงานมีพลังรับมือแสดงสปิริตเต็มศักยภาพ


พอที่จะให้คนต่างชาติแขกต่างชาติ
ที่มาดูงานในหน่วยงานผม
ได้รับสิ่งดีงามกลับไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย


และ
ให้ทำงานแบบมิ่งมิตรน้องพี่
มีการให้การเสียสละ
รู้หยืดหยุ่นอยู่กันแบบพึ่งพาพึ่งพิงมิใช่เอาเปรียบ




ผม..เดินผ่านร้านดอกไม้...ก่อนจะเข้าที่ทำงาน
และ
ด้วยใจดวงดีราวฟ้าหลังฝนราวพายุพัดผ่าน

เพราะ
คำปลอบประโลมใจจากใครบางคน
ที่ฝากคำกระซิบสอนให้ผมอดทนอภัยเมตตาแด่ผู้คน

ให้มีกมลรู้รักรู้ให้
*ดั่งหยาดฝนจากฟ้า*
ที่หลั่งรินมาไม่เลือกหล้าแหล่ง
ขอเพียงดับแล้งไร้


ผมจึงหยุดชะงัก
เมื่อเห็นดอกไม้มากมายแสนสดงาม
หลากสีสันวางเรียงรอขาย

ผมหยุดมองมาลัยดอกมะลิ
ที่เพิ่งผลิร้อยห้อยอุบะพวงรวงเรียงวางงามไว้ในถาด
และ...
ตัดสินใจซื้อ..ทันทีอย่างไม่ลังเล..ใจ



ผมเดินผ่านโต๊ะหัวหน้าและวางไว้

ไม่นานก่อนที่เธอจะเยื้องย่างลงมานั่ง
และทำหน้าแปลกใจ
เธอ..เงยหน้าถามใครซื้อมานี่..!
ผมครับ อยากให้พี่เห็น...งามดี



พี่ดูซี
พวงมาลัยพวงเล็กๆแค่นี้กว่าจะร้อยเป็นพวงได้
คงต้องใช้คนที่ฝึกฝนมานาน
และต้องรักความละมุนละเมียดนะครับ



พี่ว่างามมั้ย 
ผมว่า
เขาคงใช้ใจดวงละเอียดประดิดประดอย
ด้วยความตั้งใจ
ผลงานจึงออกมางามอย่างไม่มีที่ติ 

ที่หากใช้ใจเร่าร้อนรีบเร่ง
ก็คงไม่ได้งานงามประณีตสวยขนาดนี้ดอกนะครับ
พี่อย่าลืมเอากลับไปบูชาพระด้วยนะครับ..คืนนี้



และ
อ๋อ ...!
พี่ครับรายงานที่พี่ใช้ผมเรียบเรียงนั้น
ผมก็ใช้เวลาเหมือนร้อยมะลิแหละครับ
และ
หากยังไม่ดีพี่ก็รู้ว่าผมทำดีที่สุดแล้วนะครับ..



ผมไม่รอดูสีหน้าเธอ 
ก่อนที่จะหมุนเก้าอี้หันหลังกลับมา
พร้อมรอยยิ้มที่ผมรู้สึกสบายใจเสียไม่มี
ในเช้าวันนี้ 


ที่ผมได้ฝากน้ำคำให้น้ำใจ
และคำสอนให้เธอสะท้อนใจเสียบ้าง

ด้วยรักเมตตาปรารถนาดีแด่เจ้านายคนนี้
ที่ทำอะไรๆทุกอย่างไม่ได้เลยไม่เป็นเลย
ไม่เคยยอมบรรเลงเองสักอย่างเดียว



จนไม่รู้ค่าว่าคนที่ทำงานหนักนั้น
ต้องใช้สมองและวันเวลานานแค่ไหน
กว่าจะผลิตออกมาได้
ออกมารับใช้ให้เธอแค่นำเอาไปใช้พรีเซนต์
อย่างสะดวกสบาย

และบางครั้ง
ยังไม่พอใจใช้กลับมาแก้แล้วแก้อีก
ราวกับคนที่รับทำให้ไม่มีหัวใจ
หรือเป็นหุ่นยนต์
ที่ไม่มีคำพูดโต้แย้งใดนอกเสียจากรับคำสั่ง


ผม...
รู้สึกดีกับวันนี้

ที่ฟ้าเมืองไทยในที่ทำงานผม
อาจจะได้เบิกใส
ให้หัวใจภายในใครบางคน
ได้หันมาทบทวนบทบาทตนเอง



และ
รู้ค่าคน ว่ามิใช่ควาย

ที่จะใช้สนตะพาย
แบบไม่เคยให้ความรักความเข้าใจ
เพราะนี่มันสมัยประชาธิปไตย 
ไม่ใช่สมัยทาส 

และ
แม้แต่ควายเรายังต้องใช้
ด้วยความฉลาดรู้ด้วยความเห็นใจ
ว่าเขาทนสู้แดดแบกแอกแสนหนักไถเพื่อเรา
และเพื่อประเทศชาติ
ต้องรู้จักมีน้ำใจคืนกลับ



ที่จักดำรงไทยธำรงชาติได้

ด้วยการผสานใจผสมรักเข้าใจ
ระหว่าง
คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มากสามารถ
กับ
คนรุ่นเก่าล้นประสบการณ์

ขอแค่เพียงเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง  มีวิสัยทัศน์..เพียรรอบรู้
อย่างไม่เห็นแก่ตัวแก่ตนและความสบาย
คล้ายไร้สิ้นซึ่งไฟฝันและอุดมการณ์...!!!!!

............
				
27 มิถุนายน 2548 09:25 น.

สิ้นแสงใจ!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html


เหมือนเรือน้อยลอยลำกลางทะเลกว้าง
เหมือนกระท่อมร้างไร้น้ำผึ้งจันทร์คืนวันไหน
เหมือนเรือนหอสร้างไว้รอพังทลายไป
เหมือนตะวันนำทางใจไหวหรี่ดับ

เหมือนเดียวดายคล้ายนกขมิ้นเหลืองอ่อน
เหมือนสิงขรสะท้านสะเทือนรับ
เหมือนกมลฝากใต้หล้าพสุธาทับ
เหมือนเหมือนกับใจวันนี้ที่แหลกแล้ว

เหมือนดอกไม้หรี่หุบพร้อมทั้งโลก
เหมือนเพลงโศกพร้องผสานสิ้นโลกแก้ว
เหมือนสายน้ำรักนิรันดร์พลันรี่ไหลไม่คืนแล้ว
เหมือนกับแก้วกลางใจไกลกัปป์กัลป์

เหมือนทรายผงปลิวเข้าตาหาออกไม่
เหมือนดวงใจมืดบอดหมดสิ้นฝัน
เหมือนเรือน้อยลอยลำไปกับตะวัน
เหมือนแสงจันทร์วันสุดท้ายหมายลาลาน

เหมือนน้ำค้างสีโศกโลกสีเศร้า
เหมือนแก้วร้าวร่วงกราวยากประสาน
เหมือนบทกวีพลีเพียงเงียบสิ้นไร้งาม
เหมือนทุกยาม..รอ..ลมหายใจรินรินสิ้นสิ้นไป.......!!!!!!!!

.........



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html
ขวัญ เอ๋ย
เคยภิรมย์ชิดชื่น สุขสันต์
หลง เพ้อฝัน
รักมั่น มิทันจะเนิ่น
เธอ เมินหมาง
โอ้ อ้างว้างอารมณ์ ฤดี
เหมือนโนรี
จากคอน หลงรังนอน
ลืม พี่ เหมือนชีวี
เดียวดาย เอกา
โอ้ ดึกเดือนคล้อย
เดือนเจ้าจะลอย จากตา
มอง นภายังเห็นดารา
เรียง ราย

เหลียวหา จนทิวาโฉมเจ้า แล หาย
หรือ รักแล้วแหนงหน่าย
รักเอ๋ย ลืมง่าย
ใย เมินเฉย
โอ้ ใจเอ๋ยใจเลย แรมรอน
ฉันยังจำ ติดตา
ทุกทิวาคืนก่อน
เหลืออาวรณ์ใจเอย ค่ำลง
โอ้ ใจสะท้อน
จะหลับจะนอนพะวง
ลืมไม่ลง
มันเหมือนมีมนต์ ดล ใจ...
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด