21 กันยายน 2549 22:45 น.

ไม่รอ..คำตอบ..จากฟ้า..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6370.html
(ปลายฟ้า)



สวรรค์ส่งเธอมาวันฟ้าหมอง
ดาวยังพลีร้องไห้แทนคนสิ้นหวัง
ดินเฝ้าครวญพายุโหมโถมประดัง
ลมเพ้อคลั่งรับเพียงโศกโลกทุกข์ทน

หากเพราะใจเพชรภายในไม่เคยท้อ
ไม่คอยพ้อถามฟ้าให้สับสน
ติดปีกใจเหิรบินไปท้าลมบน
ฝ่าพายุฝนลมแรงสู่แสงฟ้า

สร้างพลังจิตนิมิตหมายมิยอมแพ้
หาสัจจะแท้สัจจธรรมอย่างผู้กล้า
บินเหนือโลกย์ลบรอยโศกลิขิตชะตา
เพียรไขว่คว้าแสงธรรมทองส่องนำใจ

ณ..ปลายฟ้าทางช้างเผือกทอดพาดผ่าน
มีวิมานลอยในสายรุ้งงามไสว
เทพแห่งพรหมรอรับขวัญยอดดวงใจ
หลอมฤทัยรวมหนึ่งเดียวเกี่ยวก้อยสู่แดนฝัน..นิรันดร...
....................




หลายวันมานี้ ฟังเพียงบทเพลงบรรเลงแสนงามสงบสงัดจิต
บทเพลงสะท้อนชีวิตจากธิเบตและเนปาล 

"The Secret of Himalaya"

1. The peeping Sun
2.Rage of Thunder 
3.Changing Mood of himalayas
4.message of Himalayas
5.Romantic Mood
6.Good Bye The day
7.Shadow of Moon Light.
..................
และนี่คือชื่อเพลงแสนงามของ  Nawang ค่ะ

1.    MOVEMENT(HEART)
2     WANTING PEACE)
3.    KINDESS AS THE KEY
4.    START  A KINDNESS COURSE
5.    YEAR OF TIBET
6.    THE  FLIGHT OF SHAPHERD BOY
7.     A SAD RETURN TO MYBIRTPLACE
8.     KARUNA
9.     PEACE THROUGH KINDNESS
10.   NOBLE PEACE LAVREATE
11.    WORKING FOR WORLD PEACE




และฟัง..
เสียง flute ของ Nawang Khechog ที่เขากล่าวถึงบทเพลงเอาไว้
อย่างน่าฟังว่า...

"This release is dedicated to the preservation of Tibetan culture and civilisation.
I appeal of my listeners to do something before one of the most unique and beautiful
cultures of the world disappears.
If you would like to learn how you can aid the situation of the Tibetan people
Please contact the Department of Information and International Relations.."



ประวัติ พระเอกนักเป่าfluteในดวงใจพุดไพรค่ะ

Born in Tibet.
Nawang Khechog spent his earliest years as the child of nomads.
In his boyhood he first learned to play the bamboo flute,
an ancient instrument  popular in rural village throughout Tibet.,

After the brutal subjugation of Tibet by Chinese Communist in 1940.
Nawang and his family escapted to india.
There he studied meditation and Budhist philosophy, a path hefollowed
as monk for eleven years-four of them as hermit.
In 1986 , he emigrated to Australia where he first perfomed,
and his recordings achieved bestseller status.
Nawang is best known for his collborations with Kitaro,
inclouding a world tour and performances as Kitaro's Grammy
nominated Enchanted Evening and Mandala albums.
His live  perfomances with philip Glass.Paul winter, Laurie Anderson,
Paul Simon, Natalie,Merchant and Baba Olatunji have received
international acclaim.
In 1996 Nawang also worked as Tibetan assistant directer and
actor For the Seven years in Tibet, directed by Jean-Jacques Annaud.
.....................



Up above the thunderclouds and beyond the wildflowers,
up where the air is thin,
Nawang sat silently in a cave for seven years occasionally
playing his flute at sunset.

Before the notes evaporated and were transformed
into an evening mist, they were heard by the mountain goats,
which stopped chewing and turned their heads to listen because
the god-like melodies filled them
with wonderment and made them want to dance...

..............................


"The key point is Kindness, with Kindess one will have inner peace.
Through inner peace, world peace can one day be a reality"

                                            H.H. the Dalai lama
................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6370.html
(ปลายฟ้า)

ปลายฟ้าปลายฟ้า
แค่หลับตาลง คงพบกัน
โอบกอดดวงใจ สายสัมพันธ์
ท่ามกลางความฝัน ของเรา
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล

คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
ปลายฟ้า... 
 


				
20 กันยายน 2549 10:03 น.

เดือนดับที่แดนฟ้า..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5820.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6192.html
(ความฝันอันสูงสุด)


คืนนี้ดาวสร้อยเดือนเศร้า
คืนร้าวพสุธาโศกอีกหน
ความอึมครึมทาบทอดทุกกมล
น้ำตาฝน รินหลั่งสังเวย

อยากร้องไห้กับฟ้าฝน
กับลมบนไยนิ่งเฉย
พสุธาไทยเงียบงันยิ่งกว่าเคย
ลาเลยดอกไม้ประชาธิปไตย

วนย้อนรอยถอยหลัง
สิ้นหวังสิ้นอิสราไสว
กี่ครั้งกี่คราวหนาวเหน็บใจ
กี่ไท ..ไทย..หลั่งเลือดยอมพลี......!!
................................





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem64557.html
*แด่พสุธาที่ข้ารัก*


ปริม..
กำลังนั่งอยู่ตรงนี้
ตรงหน้าลูกผู้ชาย*คนดีศรีอยุธยา*
ผู้ชายผิวคร้ามแดดและนัยน์ตาโศก

ผู้ชาย
ที่ทำให้โลกหยุดหมุนราวย้อนยุคย้อนรอย
สู่อดีตเมืองเก่าของเราแต่ก่อน

ให้ย้อนคิดไปถึงภาพ
ในอาบเอื้ออาทรอาวรณ์อาลัย
*ถึงลูกผู้ชายไทยชายชาติทหาร*

ที่กำลังเปลือยร่างท่อนบน
ปล่อยให้ผิวคร้ามแดดนั้นสุกปลั่ง
ด้วยหยาดเหงื่อที่ผุดพรั่งหยาดรินอย่าง
เททุ่มทุกพลังบรรเลงเคี่ยวกรำฝึกฝนเพลงดาบเพลงรบ
พร้อมออกทัพ..จับศึกกับพม่าข้าศึก



ที่จักให้สำนึก
หลั่งน้ำตารินรดหยดบนหลังเท้า..*ว่ามาผิดที่*
ตราบจนถึงวินาทีสุดท้าย
จนสายเลือดสิ้นหยาด

ว่าอย่าได้หมายมาดแม้เพียงคิด
จะมาข้ามศพลูกผู้ชายชาติไทย
หัวใจสิงห์หัวใจไทใครสักคนในผืนดินทองแห่งนี้

ที่จะยอมพลีทั้งร่างใจ
ยอมพลีสิ้นจิตวิญญาณ
เพื่อรักษาผืนแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
ไว้ให้ผองลูกหลานไทยได้ภาคภูมิ..
ได้หยัดยืนอย่าอิสรา..มิเป็นข้าเป็นทาสใคร!


ค่าที่เขาคนดีคนนี้นั้น
คือพี่ชายแสนน่ารักนัก
ที่มีรูปลักษณ์ดั่งชายไทยโบราณ
และ...
งามด้วยบุคลิกภาพชายในฝันในดวงใจ..

หากทว่าสำหรับปริม..
หาใช่เรื่องแปลกเรื่องเปลือกไม่
ที่ใจต้องห่วงพะวงหา


เพราะว่า
รู้จักรู้ใจเขามานานแสน

หากเป็นเรื่องงานมาก่อน

ที่ต้องมานั่งท้าวแขนแสนอ่อน
ฟังความ..ในคอนโดหรูคู่เคียงอ่าวสิงคโปร์
ที่มีสิงโตพ่นน้ำเป็นฉากงามอยู่เบื้องหน้านั่น
รับกับไฟพร่างพรึบพราวของราวตึกราวเมืองสวรรค์


และทำให้ปริม..
ต้องบินด่วนมาถึงนี่
สิงคโปร์..
บ้านหลังที่สองของปริม..
มานานเนาเช่นเฉกเดียวกัน
บ้าน..
ที่มีเส้นทางสายฝนสายฝันให้ดวงใจสงบงาม
ในทุกยามรำลึก..



ให้ปริม..
มารับฟังงานออกแบบบ้าน
ที่แผกคิดพิเศษพิสุทธิ์
หากทว่างามง่าย
เพราะเจ้าของคือ
สถาปนิกที่เป็นชาวเมืองเก่าของเราแต่ก่อน



พี่ชายที่ปริม..
แสนรักและนับถือคนดีคนนี้
ที่แสนหล่อล่ำ
ก่อนจะจบจากมหาวิทยาลัยหน้าพระลาน
แล้ว
จากจรไปจบมหาวิทยาลัยเยลในอเมริกา
และในที่สุดกลับมาใช้ชีวิต
ที่ประเทศสิงคโปร์นี้ 
ที่นานพอกันกับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง



ปริม..
ได้รับโทรด่วน
บอกถึงเวลาอันควรแล้ว
ที่จะเป็นผู้ช่วยสถาปนิกควบคุมงาน 
เพราะ
เจ้าของบ้านมิสามารถทิ้งงานอันรัดรึงตรึงมือฉมัง
ในการออกแบบโครงการหลายร้อยล้านพันล้าน
แห่งแผ่นดินสิงห์โตทะเลพ่นน้ำมาได้



พี่ชายคนดี
จึงมอบหมายด้วยไว้ใจ
ให้ปริมทำหน้าที่แสนจุกจิกใจนี้แทน

ให้คุมช่างทำตามแปลน
ที่คาดว่าช่างจะแสนงง หลงทางคิด
ว่านี่กำลังจะก่อสร้างวัดโบราณหรือว่าบ้านกันแน่



ค่าที่แปลนบ้านหลังนี้นั้น
จะมาปลูกฝันปันหอมหวานริมแม่น้ำอยุธยา 

เป็นบ้านที่สวยมาก สำหรับปริม..
เพราะบ้านหลังนี้
พี่ชายคนดีตั้งใจออกแบบ
สร้างประยุกต์
ให้กลมกลืนและสอดคล้องกับวิถีไทย ..... 
ที่เคยสงบงาม เรียบง่าย ริมคลอง
ที่เคยมีเรือพายมาขายของ...



แม้แต่ต้นไม้ ใบบังก็ยังคงเก็บรักษาไว้ 
ห้องน้ำแลลอดเห็นดาวเดือนเกลื่อนฟ้า 


บ้านก่ออิฐเปลือย 
ให้พันธุ์ไม้เลื้อยคลุม...ราวบ้านร้าง สร้างไม่เสร็จ 

เพราะตั้งใจรักษา ทุกอย่าง ให้งามกลืนไป 
ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ 
ที่เคยร่มรื่นชื่นใจ ชื่นตา แต่ไหนแต่ไรมา.... 



เป็นวิถีไทย ในชนบท ที่งดงาม 
ราวมีขุมทรัพย์นับแสน 
ไม่ต้องวิ่งไปเสาะแสวงหา อย่างไร้ที่ติ 
ที่ธรรมชาติช่างมีเมตตา 
หยิบยื่นให้แก่ ผู้รู้ค่า ผู้รู้รักและเข้าใจในงามนั้น..... 


พี่คนดีอธิบาย
ถึงมโนภาพที่สร้างแรงฝันบันดาลใจว่า


ยามพระอาทิตย์ตก
จะได้ยินเสียงนกกาพากันขับขาน 
ราวอยุธยาเมืองเก่าก่อนลอยเลื่อนฟ้ามาเยือน 
ให้แย้มยิ้ม..ลืมสิ้นโลก
และ
ชีวิตที่วายวุ่นไร้สิ้นสุข แบบวิถีคนเมือง.... 



ที่อึงอลสับลน จอแจแต่กับเสียงรถรา
และ
การจราจรที่บ้าคลั่ง แข่งกันจะกลับรังของตน 
เฉกเช่นนก.....หลงทาง...สิ้นหวัง สิ้นทางเลือก 

จำต้องกระเสือกกระสนทนอยู่......ไปวันวัน... 

ไหนจะในยามเช้าตรู่
ก็ต้องพรูพรั่งออกมาจากรัง เวียนวน 
จนกว่าชีวาจะลาลับดับสิ้นไป..



และในยามค่ำ
กับจันทร์แจ่มดวงทอแสงสุกปลั่ง
ราวลูกจันทร์สีทองแขวนฟ้า

จะนอนนอกชานกว้าง 
ไม้กระดานแผ่นโต  
นับดาวพราวฟ้า พาใจให้ 
ละมุนด้วยกลิ่นดอกไม้ที่หอมร่ำ 
ให้ไหวหวามและแสนอิ่มสุข



ราวน้ำคำพร่ำฝากให้เรานั้นฝันถึง 
พาใจให้ใสเย็น ชื่นฉ่ำ 
ราวได้หยาดน้ำค้างกลางเวหาหาว 
ร่วงพราวมากับดาวดวงโต..สุกปลั่ง.... 
และ
ยิ่งชื่นฉ่ำ..ฉ่ำชื่น 
ถ้าคืนนั้นฝันเป็นจริง 
มีใครสักคนเคียงคู่ ดูดาวเดือนไปด้วยกัน..... 
พาหลับไหลไปด้วยความหวาน..หวาม ....ชื่นใจ..ไหนจะเทียม 



ปริม..
ภูมิใจในงานนี้ 
งานที่เราคนในวงการเดียวกันแสนจะเข้าใจ
ถึงความฝันถึงความบันดาลใจ
ถึงไอเดียอันยากยิ่งที่ผู้ใดจะตามทัน



ปริม..
จึงคลี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อ 
พี่ชายพยายามร่ายยาวถึงรายละเอียด

พร้อมอวดภาพเปอร์สเปคทีฟให้ดู
พร้อมย้ำ งามมั้ยๆบ้านในฝันที่กำลังจะเป็นจริงของพี่

*งามค่ะ งามมากกกก*



ปริม..
พยายามลากเสียงปนหัวเราะ
งามแบบแปลกพิสดารค่ะ
รับรองใครที่ผ่านมาต้องมาเมียงมองว่าพี่
มาแอบอาศัยในวัดร้างอย่างแน่นอนเลยเมื่อแล้วเสร็จค่ะ


และ
คงแสนจะแปลกใจ
หากรู้ว่าคนในโลกนี้ทำอะไรประหลาดๆค่ะ

ที่เอาเงินหลายล้าน
มาวาดฝันเนรมิตรสร้างบ้านให้เก่าย้อนยุค
ยิ่งเก่ายิ่งขลังให้ยิ่งวังเวงเหว่ว้าเดียวดาย
ให้งามเงียบแสนสุขสมถะสงบใจ
ที่ใครหนอจะเข้าใจ



ว่านี้คือยอดไอเดีย
ที่กลมกลืนผสานผสม
ทั้งร่างใจและจิตวิญญาณภายในของเจ้าของ

ที่เคยเติบโตเติบงามมาในยามวัยเยาว์
และ
ซึมซึบประทับใจในวิถีเก่าเดิมอันแสนเคยคุ้น
หอมกรุ่นตระการในงามเงาอดีตที่อยากย้อนคืน



ปริม..
ยิ้มหวานเอาใจอย่างเข้าใจ
และเข้าใจ
พี่ชายคนดี..หัวเราะแบบรู้ใจในทีกัน
ฉันท์น้องพี่มายาวนาน



รับรองค่ะ
ช่างคงไม่คิดหนีทิ้งงานไปกลางคันค่ะ
เพราะ
หลงคิดผิดแต่แรกว่า
ขั้นตอนบ้าน
ที่ไม่ต้องฉาบปูนนั้นแสนง่าย
หารู้ไม่ว่ารายละเอียดการก่อสร้าง
ให้ละม้ายแม้นบ้านเก่านั้นแสนจะยากยุ่ง..ยิ่งกว่าเสียอีก



ปริม..
พูดไปขำไป..
และ
ปริมคงต้องเตรียมใจ
เตรียมใส่หมวกกันน๊อคป้องกันภัยไปคุมงานค่ะ

ไม่ใช่กลัวอะไรตกมาใส่ดอกนะคะ
กลัวว่าช่างจะโกรธมากกว่า
ที่ไปจุกจิกให้เป็นไปดั่งแบบ
และแอบเอาก้อนหินขว้างใส่หัวเอาค่ะ



ปริม..
จึงเพียรตั้งใจฟัง
และหวังว่า
ไม่นานนี้
บ้านราววัดโบราณนี้จะงามปรากฏ
ในหนังสือระดับชาติ

ฝากให้ร่ำลือผลงานอันงามง่ายหากทว่า
แสนลึกล้ำในความคิด..
แผกพิศพิเศษ
มิแยกวิถีชีวิตจากธรรมชาติดินดิบเดิม



ปริม..
บินกลับมา
หลังจากพาตัวเอง
เที่ยวท่องออชาร์ดโร๊ดอย่างดายเดียว
ที่แทบหลับตาเดินได้ 

ข้ามเคเบิลคาร์ไประลึกอดีตเสียนิด
แวะทักทายเพื่อนสนิทเสียหน่อย
แล้ว...
ก็ค่อยๆลอยละลิ่วปลิวกลับมากับนกยักษ์ลำใหญ่
ที่ย่อโลกกว้างทางไกล
ให้กลับมาถึงกรุงกรงมิหลงทางภายในสามชั่วโมง



ปริม..
เก็บข้าวของและ
นอนงีบหลับไป
ในเตียงโบราณม่านมุ้งขาวไหวระบัด
รับสายลมยามเย็นรินร่ำ
และ
กับสายแสงแห่งดวงตะวันยามโพล้เพล้
กับเหว่ว้าอวลหอมหวานเศร้าร้อยรัดรึงใจ



ในเรือนไทยเรือนจำปี
เรือนริมน้ำหลังที่แสนงามของปริมเอง

ที่คือวิมานดินวิมานไพร
ชวนให้หลับไหลอย่างแสนสุข

ไปกับงามดอกลั่นทมจำปีจำปา
และกับดวงดอกการะเวกเหว่ว้า
ที่มีคนรู้ใจ
เด็ดมาวางเคียงใกล้หมอน
ให้นอนนุ่มอวลนวลเนื้อใจในทุกราตรีมิขาดเลย



ปริม..
หลับตาก่อนที่จะทำสมาธิให้หลับลึก

หากในจิตปริม..นั้น
พลันกลับผุดคิดนึกถึงแบบบ้านในฝัน
อันงามย้อนงามอ่อนโยนราวเป็นภาพจริงแล้ว



ปริม....ทอดถอนใจยาว
ค่อยประคองน้อมสติมารวมกันแล้วเพียรภาวนา
ท่องพุทโธๆ 

กำหนดลมหายใจยาวสั้นอย่างช้าๆช้าๆ

ค่อยๆใช้สมาธิตามลมให้ทัน
ให้ละเมียดละไมให้ละเอียดลึกลงๆ
จนเริ่มบางเบาๆ
พลางราวพาร่างจิต
ท่องไปในนิทรา
อันสิ้นไร้ฝันฝันฝันอันแสนหวานหวานหวาน



หากทว่า...
กับราตรีนี้..ไยเล่า..
ให้จิตกลายกลับมารับรู้รับเศร้าโศกสะเทือน

มาเตือนจิต
ในภวังค์พะวงฝันมหัศจรรย์รักมหัศจรรย์นัก

ให้ปริม..ไยมารับรู้รับฝัน
ที่รานร้าว
ที่ช่างเศร้าแสนเศร้าด้วยเล่าเจ้าดวงใจอันไหวละมุนงาม



ฉากฝัน
ที่แสนโศกสะท้านสะเทือนใจ
ให้หัวอกหัวใจ
ตระหนกอกสั่นขวัญหาย

ให้ตกใจตื่นในยามค่ำเลยแล้ว

ที่ยังแว่วได้ยิน
*บทเพลงแก้วสายน้ำนิรันดร์*ยังคงแว่วหวานมา

ที่ยังคงบรรเลงครวญคร่ำ
ที่เปิดรินร่ำไว้พร่างพรมห่มหอมห้วงใจ
ให้รับไหวหวามก่อนจะเข้าสู่ภวังค์นิทรา
.

กับดวงดอกแก้วพร่างกระจ่างเหว่ว้า
ที่กำลังได้รับพร่างฝนพรำในนาทีนี้
กับแสงเทียน
ในโคมตะเกียงโบราณยังระบัดวูบไหว..วูบไหว..



แสดงว่าปริมแค่งีบไปในนิทราไม่นานเอง

และ
นิทราที่ฝันเห็นนั้น

คือ...
ภาพฝันภาพนิมิตแสนงาม
ยามที่ตัวเองห่มสไบนวลสไบแพร
นั่งอยู่ในโบสถ์คร่ำ
หน้าพระพักตร์พระพุทธองค์โตงามปลั่ง



ที่กำลังนั่งเคียงข้างเคียงไหล่กันกับผู้ชายคนหนึ่ง
ที่ดูแสนตรึงเศร้ากร้าวแกร่งราวทหารหาญ
ในเสี้ยวหน้ารำไรรับไรแสงเทียนทองสุกปลั่ง
ให้พลังอันอบอุ่นอ่อนโยนเป็นยิ่งนักแล้ว



และ
วะแว่วแผ่วเสียงสวดมนต์ภาวนา
คล้ายภาษาบาลีโบราณที่แสนขลังวังเวงใจ
จากปากบุรุษและสตรีนางนั้น
ที่ปริมคิดว่าคือเธอเองใช่ใคร



สองเสียงก้องสะท้อนทบทาบ
อาบงามไปกับแสงสงฆ์พร่างแห่งจีวรพระประธาน
ที่ช่างงามพร่างงามพรายงามไหวเรืองรอง
งามผ่องผุดพิสุทธิ์พิลาสในท่ามแสงเทียนอันทอดทอทอง



หาก..
แล้วเสียงนั้น
ก็พลันค่อยๆแผ่วเบาแผ่วเบาลง...
พร้อม..
กับหยาดน้ำตาราวหยาดน้ำค้าง
ที่พร่างพรูสู่เรียวแก้มนวลหมอง



ชายในฝันหันมาโอบประคอง
พร้อมกับที่เขาหันหน้ามาซับหยาดน้ำตานวล
โลมไล้อย่าแสนรักใคร่แสนอาลัย
และ
ชวนกันน้อมกราบกรานพระพุทธา
อย่างช้าๆพร้อมกัน..



เขาค่อยๆประคองไหล่งามล้ำ
ที่พันพาดห่มรัด
ด้วยสไบแพร
ให้เห็นเพียงไรเนินเนื้อหนั่นแน่นเนียนแดด

ให้ออกมาไกลจากวัด 



แวะนั่งพักใต้ลานจันทร์ลานฝันในร่มลั่นทม
พลาง
ค่อยๆก้มลงดอมดมพรมจูบริมไรผมเรียวแก้ม
แล้วค่อยๆเก็บดวงดอกงามมาทัดแซมผมให้อย่างเบามือ


แกมโอบตระกองกอดปลอบประโลม
ให้ร่างน้อยๆราวลูกนกสั่นสะท้านค่อยๆซุกอกใจรับไออุ่น



และราว
กับภาพลาพรากที่เขาคนดี
กำลังจะจากไกลไปไหนสักแห่งในผืนแผ่นดินนี้
ที่ไร้สรรพเสียง
มีเพียงเงียบงันราวดวงตาสวรรค์กำลังร่ำไห้รับรู้
อยู่นะเบื้องบนเพียงนั้น!
.......................
........


กลับมา.....
ให้ปริมเห็นภาพตัวเอง
อีกภาพและอีกภาพ.....

กำลังพายเรือในลำคลองสายงามออกแรงโถมอย่างรีบเร่ง
ที่สองฟากฝั่งนั้นมีเรือนไทยโบราณตะคุ่มซุ่ม
ซ่อนซุกตัวอยู่ในแมกไม้อย่างเงียบงัน
อย่างขวัญเสีย

ราวตรึงโศกวิโยคสะเทือน
ไปทั่วถิ่นทุ่งคุ้งโค้งทุกลำประโดงท้องน้ำ


ภาพปริมหาได้ห่มสไบไม่
หากตัดผมเกรียนและซ่อนร่างเนียนงาม
ภายใต้ภาพผู้ชายชาตินักรบ



และ
กับอีกภาพในนิมิต

เธอ..กำลังไล่ล่าฟาดฟันทหารพม่า
ราวกับบุรุษอาชาไนยด้วยดวงจิตเกินร้อย
ราววิญญาณบรรพบุรุษร่วมรัดร้อยพร้อมพลีรบ


และ
อีกทีอีกภาพ
ที่หลังเธอชนหลังกับใครบางคน
เคียงไหล่เคียงบ่าประจัญ
ในพรายพร่าแห่งแสงตะวันกล้า
อันดุเดือดเลือดพล่าน


ตราบจนเกือบสิ้นแสงตะวันลาตะวันรอน
กับภาพทหารนอนก่ายกองมากมาย
เหม็นคาวเลือดคละคลุ้งในทุ่งนาไร้ร้าง..อ้างว้างเงียบงัน!!!!!


กับภาพไฟ... ไฟ...  ไฟ..!!!!!
ไฟไหม้โหมไปทุกที่...

ที่แสนสยองขวัญสลดใจนัก
ภาพซากปรักหักพัง...
พระพุทธรูปถูกบั่นเศียร..


ภาพเจดีย์งาม
ที่กำลังลามไหม้ลุกโพลงล้มระเนนระนาด
โอ้..แสนจะน่าอเนจอนาถใจ..
ว่าแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
อันแสนร่มเย็นจะสิ้นแล้วหรือไร..โอ้อยุธยา..

ไยฟ้าดิน..เมินหน้าหนีมิปรานีปล่อยให้อัปราชัยไฉนหนอ!*
...........


และ
ในพรายแสงแห่งตะวันโศกนั้น

ปริมหันเห็น
เขาคนนั้น
คือลูกผู้ชายในโบสถ์คร่ำ
ที่เธอร่ำรินหยาดน้ำตาซุกอกอุ่นนั่นเอง


เธอกับเขาเคียงบ่าเคียงไหล่เคียงจิตวิญญาณ
อย่างหาญกล้า 
พร้อมด้วยประกายตาลุกโชนช่วง
ด้วยดวงแสงจำรัสอันมิพรั่น


อันคือพลังแสนยิ่งใหญ่
ที่จิตภายในตรงกัน
รวมหลอมละลายทูนเทิดไว้เหนือเกล้าเหนือดวงใจ
ด้วยแรงแห่งหวัง
แห่งรักษ์จักพลีชีพสิ้นขอยอมด่าวดิ้นแดดับ
เพื่อปกปักบ้านป้องเมือง
รักษาผืนดินไว้ตราบสิ้นเลือดหยาดสุดท้ายรดพลี




ตาสบตา..คลี่ยิ้มเย้ยชะตา..พร้อมกัน
พร้อมทายท้าข้าศึก


*เข้ามาสิ! มารับคมดาบข้า..*

เข้ามาเลย..มา..เข้ามาสังเวยเลือด
ให้หยาดริน..รดเท้าข้า..!


ที่หวังฟ้าแลดินอินทร์พรหมยมพญา
จะมาเป็นสักขีโปรยพร..!
ให้แด่ดวงวิญญาณแห่งสองเรานะเจ้ายอดดวงใจอย่าพลั่นตาย
หากหมายมาดให้ผืนดินยังอยู่ให้ลูกหลานไทได้หยัดยืนยง*



และ
ราวมีพลังแห่งปาฎิหารย์รักมาร่วมรับรู้
ทุกครา..
ที่ฟาดฟันบั่นคอศัตรู
จะเกิดแสงพร่างฉายฉานวาบวับรับกับทุกคมดาบ
กระจายรายรอบเป็นรัศมีออกไป..,มิสิ้นสุด .!!!



ก่อน
ที่ทุกสิ่งจะค่อยๆหยุดลง..และ
พลันพร่าลางเลือน..ลางเลือน...ๆๆ......

เหลือ..
ให้เห็นเพียงสีแดงสีแดงและสีแดง
ท่วมท่ามบนผืนหญ้าผืนพสุธา
และ
บนตักงาม
ที่พลันนะบัดนี้มีร่างเขาซุกซบ
ในอ้อมตักอ้อมใจ

พร้อมกับอกอุ่นๆ
ที่หยาดเลือดรักยังระรินไหลมิหยุดยั้ง

ราวสายธารโศกให้โลกหยุดหมุนชั่วครู่

ดาวรุบหรู่มืดมิด ...

ลมหยุดพัดนิ่งงัน..

สวรรค์แลฟ้าดิน

กำลังครวญคร่ำร่ำไห้
ราว
กำลังพร่างน้ำตาสรรเสริญรักนิรันดร์อันแสนยิ่งใหญ่นี้

ที่ฝากพลีเทิดผืนปฐพี
ชะโลมหล้าชะโลมดิน
ให้ไทยยังคงเป็นไท..มิรู้สิ้นยังคงภาคภูมินาม



และ

ก่อนที่
ดวงใจที่เหลือเพียงน้อยนิด
ระริกๆริบหรี่ไหว
ของงามใจแห่งนางแก้วจะพรากลา

เธอคนดี
ค่อยๆจูบแก้มที่เริ่มชืดชาเฉียบเย็นในอ้อมตัก

เพียรพยายามโลมไล้ลูบใบหน้าอย่างละมุน
พร้อมปิดเปลือกตาให้ยอดรักยอดดวงใจ
ผู้อันเป็นที่รัก


ที่ราวกับยังแย้มยิ้มยินดี
กับชีพนี้ที่ได้พลีเลือกแล้ว

และ
ราวกับปลอบประโลมเธอ
ด้วยดวงตาหนักแน่นคงมั่นแทนคำมั่นสัญญา
แทนคำลาตราบชั่วนิจนิรันดร....


เธอ..
ปวดร้าวนักทั้งร่างใจ
หากหัวใจแสนปิติอิ่มเอม
ที่ได้ทำหน้าที่สุดท้ายอย่างสมภาคภูมิ

เธอค่อยๆทอดร่างลงเคียงข้างเขาอย่างช้าๆ
มือกุมมือมั่นกันแนบแน่น
แล้ว..แย้มยิ้ม..อิ่มเอม..รอ..และรอ..เวลา...

ใบไม้ไพร...ในราวป่า
พลันร่วงควงพลิ้วปลิดปลิวโปรย....ลงมาอย่างช้าๆช้าๆ..
ไปกับอวลอบอันแสนหวานเศร้ารานร้าวระทม
ของดวงดอกลั่นทม
กับสายลมเย็นในยามค่ำ...ราวร่ำไห้
...........
..............


ในยามนั้น

ที่มีเพียงดวงตาสวรรค์เบื้องบนพลันรับรู้

เห็นร่างคู่คลี่คลุมด้วยสไบแพรผืนเดียวกัน
ที่นะบัดนี้นั้นหยาดเลือดรักภักดิ์พลีได้หลั่งรินหมดสิ้นสายลงแล้ว

*ในเวิ้งฝันพสุธารักอันแสนเงียบงันเงียบงามไปตราบชั่วนิจนิรันดร...*

*******************


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6192.html

ขออัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์*ความฝันอันสูงสุด*   


ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึก ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟัน ผองภัย ด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไข ในสิ่งผิด
จะรักชาติ จนชีวิต เป็นผุยผง
จะยอมตาย หมายให้ เกียรติดำรง
จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา
ไม่ท้อถอย คอยสร้าง สิ่งที่ควร
ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา
ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา
ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป
นี่คือ ปณิธาน ที่หาญมุ่ง
หมายผดุง ยุติธรรม อันสดใส
ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด
ยังมั่นใจ รักชาติ องอาจครัน
โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่
เพราะมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
ยังคงหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย...

 
  



				
15 กันยายน 2549 13:28 น.

Dear all, with love from Himalayan

พุด


From empty dessert to the richness of nature and the spirit of earth land. Himalayan, where I am touched by their culture and tradition of lives living. The Kathmandu Valley is surrounded by green mountain walls. It consists of three cities of great historic and cultural interest: Kathmandu, Patan, and Bhaktapur where so far I have visited.  

UnfortunateIy, I have to continue my journey without leaving much of the travelling details for you but promised I will be back very soon. 



				
9 กันยายน 2549 09:53 น.

เ ดื อ น.. ล า.. ด ว ง...!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song82.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song635.html
(รักข้ามขอบฟ้า...ลาวดวงเดือน)



เสียงขิมหวานแว่วแผ่วมากับ..ฟ้ากว้าง

ที่..ณ..กาลราตรีนี้..

ลม....ก็ราวจักหยุดพัดรำเพย

ดาว...ก็ประดุจดั่ง..นิ่งเฉยเงียบงัน 

จันทร์...ดวงทอง ดูท้อแท้
 
ไม่..!
ยอมแม้...จัก ยอม..หยาดสายน้ำผึ้งหวาน....


ผม..ยืนนิ่ง.....ใต้เงาจันทร์รำไร
ที่..
กำลังทอทอดสายลงมาขับหมองหม่นมัว
ขับมืดดำดั่งเมฆหมอกสลัวที่คลี่คลุมดวงใจผมในยามนี้

แสงหิ่งห้อยพร้อยแพร้วพริบพราว
 ราวกับ..
แสงเพชรวะวิบวับระยับยิบ*ใต้ต้นลำพูคู่ใจ *
และหวังคงจักไม่เป็นดั่งเฉกเช่น*คู่กรรม....*


สายน้ำรักนิรันดร์ยังระรินร่ำ
จำปี โมก พุดซ้อน ราตรีริมเรือน
ยังส่งกลิ่นหอมหวานเศร้า
เคล้าลั่นทมพันธุ์ขาวพวงจากกอมาพ้อพร่างร่างผม 
ให้..
ยิ่งไหวตรม กับค่ำคืนสุดท้าย
และ..
กับบทเพลง*นางครวญ*
ที่กำลังคละคลับคล้ายทอดเสียง
ราว....
กับจะหวนไห้..ไห้หวน..อาลัยอาวรณ์เสียเต็มประดา...


ผม...ก้าวขาไม่ออก 
ที่จะเดินขึ้นเรือนริมน้ำ เรือนแห่งรัก แห่งนี้
เพื่อมากล่าวคำฝากภักดิ์พลี 
แด่..เธอ..
ผู้เป็นที่รักแห่งจิตวิญญาณผมเพียงผู้เดียว..

เรือนที่...
ทุกคราคราว....
 ไม่ว่าจะรานร้าว เหน็บหนาว เศร้าฤาสุขล้นสักปานใด
ผม...ก็จะเก็บกำหัวใจของผม กลับคืนมา
ให้ยอดดวงหฤทัยแห่งผมของผม..รับขวัญ...


มานอนนิ่งนิ่งเอนอิงหมอนขวานดูงามจันทร์ 
ในท่ามดงดอกไม้ไทยหอมหอมโศก
แล้ว...
วางโลก  ลืมโลกย์วายวุ่น   ไว้ภายนอกใจ
 ให้...
รักแสนซื่อใสน้ำใจแสนพิสุทธิ์
ได้คลี่ห่ม..ลบระทม..ลืมระกำ
ลืม..
เรื่องราวแห่งกงกรรม กงเกวียนเวียนวิบาก
ที่แสนมากมายมากมี 
ตราบใดที่...
ดวงชีวีชีวันเราจำต้องผันร่างใจ
ไปพบผัสสะกระทบทุกวี่วัน อย่างยากจะหนีพ้นพันธนา..
ที่..
ดั่งโซ่ตรวนมายา


ตราบจนกว่า เราจักพบนาวาธรรม นาวาทอง 
พาเราลอยล่องข้ามพ้น มหานทีสีทันดร
กลายเป็นคนเต็มคน.
เป็นมนุษย์....ผู้ประดุจดั่งบัวไสว 
เหนือโคลนกามกินเกียรติ กิเลสมากมี


ไม่ยินดี ทั้งทุกข์ สุข 
หยุด...ทิ้งทุกสรรพสิ่งไว้ณ..เบื้องหลัง 

ไม่...แม้นหันไปมองย้อนอย่างอาวรณ์อาลัย
ในอดีตอันงามใจฤาเศร้าดาย
คล้าย...
ตัดได้ ไร้เยื่อใยโยง มาถึงลมหายใจในปัจจุบัน
ให้พลัน....
พบความพร่างใส สว่างสงบ สยบร้อน
ได้ผ่อนพักจากรักนี้ที่หนีไม่พ้น
จนมากมายปัญหาตามมา ขาดสติ ปัญญา 


หากว่า...
ไม่รู้ทันเท่า 
เฝ้าเอาแต่รักไม่เป็นรักไม่เย็นไม่เห็นงาม
ก็..คงกลายเป็ภักษาหาร
*แห่งพรานผลาญพล่าใจ* 

เป็นเหยื่อเต่าปลา
พาให้..
ติดตมจมโคลนแห่งกิเลสโลภหลงให้พะวงในภวังค์
ตราบจนกว่าจะหมดสิ้นกรรม ในเกมกาม..
ที่ดั่งเชื้อไฟไหม้ลามทุ่งใจไม่สิ้น 
หากเรายังไม่ถวิลเพียรใช้น้ำอมฤตธรรมพร่ำรินรด ดับให้ไม่เหลือ....


ผม....มายืนรำพึง หากคงมิใช่รำพัน
ใกล้กอไผ่...ริมสายน้ำรักนิรันดร์แห่งเรานี้
ด้วยใจดวงเดิมดวงดี 

ดวงที่...
มีสัญญาบารมี..เพียรพลีอธิษฐานจิตมา...
มิให้หลงยึดมั่นถือมั่น


พาให้พอมีมีปัญญา 
พาให้ผมค้นพบสัจจใจ สัจจธรรม สัจจจริง
ที่..
พระบรมศาสดามหาบุรุษ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า....
ได้เฝ้าเพียรแผ้วถางสร้างทางทองทางธรรม 
รอ...
ให้เราได้เดิน ตามรอย อย่างมิระย่อ 
มิยอมท้อแท้แพ้พ่าย หยุดเพียร
แล้ว...
ต้องกลับมาเวียนวนวงวิบาก
 แห่งการพรายพลัดพรากตายจากเจ็บจบ  ทบทวีเหมือนๆกัน...



ผม...ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว และ
ร่างสล้างไสวพอกับจันทร์แจ่ม....
ก็...มายืนคลี่แย้ม..คลี่ยิ้ม..อยู่ตรงหน้า
ร่างที่..
ผมเจนตาคุ้นใจ มาตั้งแต่ยามวัยเยาว์ 

เสียงอ่อนใสอ่อนหวานทายทักมาอย่างยินดี
*คนดี..ทำไมมาไม่ให้สุ้มให้เสียงคะ
แล้วเที่ยวนี้ พี่ลามาได้กี่วัน...
ทำไมไม่ส่งข่าวให้น้องได้เตรียมต้อนรับละคะ*


*มาเร็วค่ะ ขึ้นเรือนก่อนเลย
พระจันทร์ลอยดวงกำลังงาม 
เดี๋ยวน้องจะไปเตรียมอาหารไทยง่ายๆให้ทานนะคะ
แล้วค่อยคุยกัน...*

*อย่าบอกน้องนะคะว่า มาลาไปนานอีกเหมือนครั้งก่อน

หกเดือนค่ะ ที่น้องรอนรอ รักแรม*
ว่าแล้ว...
เธอก็หัวเราะขำกับคำหวานพ้อแกมตลกของตัวเอง


ผม..เอ่ยคำไม่ออก 
ได้เพียงหวังจะค่อยๆกระซิบบอกเธอ
ว่า...
เที่ยวนี้ ผม..ไม่รู้...
จะ..ได้คืนเรือนมาให้เธอได้รับขวัญอีกคราครั้งฤาไม่

ฤาอาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย 
เหมือนหมายมาลาดั่งลางสังหรณ์

ด้วย....
มีคำสั่งด่วนลับ 
ให้ผมจำต้องกลับไป
*ประจำการหน่วยงานเฉพาะกิจแห่งความมั่นคง*
ไปลงพื้นที่อันตราย 
ที่..
ถึงมาตรหมายต้องลงไปตาย
ผม..ลูกผู้ชายชาติทหารก็ไม่เสียดายดวงชีวาชีวิต
ดั่งคำสัตย์ปฏิญาณ...ที่หาญให้ไว้ยามสาบานตน
ดั่งยามดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ต่อพระพักตร์..
อย่างนักรบผู้หาญกล้า
ผู้รอท้าทายคมหอกดาบแห่งอริราชศัตรู
ผู้จะไม่ยอมแพ้แลก้มหัวให้ใครมาย่ำยี
แผ่นดินแม่มาตุภูมิแห่งนี้
และ..จัก
ขอพลีเลือดหลั่งชโลมดินรักษาไว้
ตราบจนหยดสุดท้ายก็อย่าหวังได้หมายยอม..
..................


และ..
ในราตรี ....ที่ดารารายพรายพร่างกระพริบ
วะวิบวับ จับจิต จับใจ..แสนงาม
ผม...ครวญเพลง
*ลาวดวงเดือน*คลอเสียงขิมที่แสนพริ้งพราว*
ด้วยฝืมือเธอ คนดี ที่ผมแสนรัก แสนภาคภูมิใจ

ผม....
ตั้งใจร้องเพลงนี้..พลีแด่เธอ..ด้วยหัวใจลูกผู้ชาย 
ที่..
ยอมพลีให้แด่นางเดียวในดวงใจ
ที่จักสนิทแนบในจิตวิญญาณรัก 
ที่ผมตอกสลักลั่นดาลมิให้ใครผ่านเข้ามาได้
มีเพียงเธอ ผู้เดียว ผู้เดียว.


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3176.html
เธอคนเดียว ละครคู่กรรม

ฮืมดาวทั้งฟ้า
ริบหรี่และมืดลงไป
และเธอรู้ไหมหัวใจฉันมันจะขาด
เมื่อเธอและฉัน
ต้องจากต้องพรากกันไป
ต้องทรมาน ต้องห่างกันไกล
จากวันนี้จนสิ้นใจ
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเวลา
หากวันนี้ยังพอมีหวัง
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว

เธอรู้ไหม
ฉันอยากให้ย้อนเวลา
ให้เดินช้าช้า
ให้อยู่ด้วยกันนานนาน
อยากมีเวลา ทำสิ่งที่ต้องการ
ไม่มีอะไรที่ทรมาน
เท่ากับการจากพรากกัน
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเธออยู่
และไม่สายไปสำหรับฉัน
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว

ไม่มีอะไรที่ทรมาน
เท่ากับการจากพรากกัน
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเธออยู่
และไม่สายไปสำหรับฉัน
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว ฮืม...
.................


เธอ...ปล่อยให้น้ำตาแห่งความระทม
หาก..
แสนงามราวหยาดน้ำตานางฟ้าเพชรพลีแด่ชายผู้เป็นที่รัก 
ที่..
เธอกระซิบตอบกลับมาริมหูผม
ในยามผมขอกอดลา

ยามที่เธอรับรู้ว่า...
ผมกำลังจะพลีร่าง
และ..
ยอมถวายชีวิตจิตวิญญาณ
เพื่อทำหน้าที่ทหารหาญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
 

ปกบ้านป้องเมือง ให้สงบร่มเย็น
ภายใต้ร่มรัตน์ร่มฉัตรเพชรพร่างแห่งพระบรมโพธิสมภาร
ให้...
แผ่นดินไทยยังคงเป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
ให้ลูกหลานหลานเหลนโหลนทั้งปอง
ได้ยังคงมีแผ่นดินหยัดยืนอย่างทรนง..!



เธอ..บอกกับผม..เธอภาคภูมิปิติใจ
 และ..
ไม่ว่าร่างเราจักไกลกันสักปานใด
หากหัวใจเราสองหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียว
มิมีวันเปลี่ยวเหงา 

และ...
คงความศรัทธารักภักดีหนักแน่นงดงาม
*ปานประดุจดั่งขุนเขาแห่งหิมาลัย*
ที่ลอยเหนือหล้า ให้ฟ้าดินอินทร์พรหมยมพญา....
ได้รับรู้ว่า....
ไม่ว่า..
กี่ภพชาติ แม้นวิบากพิสวาทเรายังมิสิ้น...
ก็เพียงถวิลขอ...
ให้ได้ไปเกิดก่อเคียงกันเคียงขวัญ
ใน*แดนสวรรค์ชั้นดุสิต*
เพื่อขอเข้าเฝ้าพระพุทธองค์อีกสักคราครั้งหนึ่ง....


และ..
ในราตรีนี้ ..
ในห้องพระที่มีมาลัยดวงดอกพุด
และเพียงพระพักตร์พระพุทธพิสุทธิ์สมัยสุโขทัยที่งามสุกปลั่ง
ในท่ามมลังเมืองของแสงเทียนทองทอทาบมาจับอาบเอิบอิ่ม
ให้นวลหน้าเธอดั่งทองทาตาม

เธอ...ยอมให้ผม...สวมแหวนทองลงยามีอักษราอักษรไขว้
ชื่อย่อสลักตราและกับคำว่ารักนิรันดร์
แทนค่าคำมั่นสัญญารักระหว่างเรา...
ไป*ตราบชั่วนิรันดร์*



อยากทราบว่าอักษรย่อสองตัวนั้นเป็นเช่นไร
ให้นางในดวงใจ ของผมกระซิบบอกเองนะครับ...
และ..
กับสายน้ำรักระรินร่ำ
คลอท่วงทำนองบทเพลงไทยโบราณ
* นางครวญ และลาวดวงเดือน*
หวนพาให้หัวใจผม....
ติดปีกบินลอยเลื่อนเหนือโลกย์โศกสุข...อย่างแสนอิสราเสรี
ขอเพียง...
 ได้เพียรพลีร่าางจิตถวายชีวิตแด่แผ่นดินไทยนี้ ให้ยังคงเป็นไท..ไท..
.........................



*ในสวนภักดิ์*

เด็ดดอกไม้ในสวนล้วนหวานหอม
นำมาล้อมดวงใจคนในฝัน
แทนคำลามาลัยยามไกลกัน
แทนนิรันดร์รักนี้พลีแด่เธอ

กี่ร้อยไมล์แค่ไหนใจขวัญถึง
ยังซาบซึ้งทุกสิ่งเคยสนองเสนอ
ยังจำจดรสพิสวาทหวานล้ำเฝ้าบำเรอ
ยังพร่ำเพ้อกระซิบคำย้ำรักนัก

คงแนบหน้าริมหน้าต่างคว้างแลลอด
ให้ดาวกอดเดือนเห่มาทายทัก
แทนอ้อมแขนคนดีที่พลีภักดิ์
แทนแน่นหนักสัญญาขวัญซึ้งมั่นใจ

เราพรากกันเพียงร่างใช่ไหมเล่า
คืนเหน็บหนาววันยาวนานสักปานไหน
สุดฟ้ากว้างทางช้างเผือก...ไกลแสนไกล
สองดวงใจ..จักรอรักสถิต..นิจนิรันดร์.......!
.............



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song82.html

ขอบฟ้า เหนืออาณาใดกั้น
ใช่รักจะดั้น ยากกว่านก โบยบิน
รักข้ามแผ่นน้ำ รักข้าม แผ่นดิน
เมื่อความรักดิ้น ฟ้ายังสิ้นความกว้างไกล
ขอบฟ้า ทิ้งโค้งมาคลุมครอบ
อ้าแขนรายรอบโอบโลกไว้ ภายใน
เหมือนอ้อมกอดรัก แม้ได้ โอบใคร 
ชาติภาษาไม่ สำคัญเท่าใจตรงกัน
รัก ข้ามขอบฟ้า รักคือ สื่อภาษาสวรรค์
อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง
ไม่ห่วงถ้ามีสัมพันธ์
ขอบฟ้า แม้จะคนละฟาก
ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน
รักข้ามขอบฟ้า ข้ามมา ผูกพัน
ผูกใจรักมั่น สองดวงให้เป็นดวงเดียว

รัก ข้ามขอบฟ้า รักคือสื่อภาษาสวรรค์
อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง
ไม่ห่วงถ้ามีสัมพันธ์
ขอบฟ้า แม้จะคนละฟาก
ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน
รักข้ามขอบฟ้า ข้ามมา ผูกพัน
ผูกใจรักมั่น สองดวงให้เป็นดวงเดียว...
				
6 กันยายน 2549 19:33 น.

ฉั น จะ พ า เ ธ อ บิ น..บิ น..ไ ป กั บ ฉั น....!

พุด


http://www.kapook.com/musicstation/newmusicstation/play.php?id=2240



ชื่อเพลง/Title : ฉันจะพาเธอบินไปกับฉัน
อัลบั้ม/Album : 
ศิลปิน/Artist : โจ้ ธนรัฐ ปิ่นเวหา

เนื้อร้อง 

อาจมีบางเวลาต้องจากเธอไป
ต้องอยู่อย่างเดียวดายบนท้องฟ้า
ไม่มีเธอคนดีที่ฉันเคยสบตา
ขอบฟ้ามันก็ดูจะแสนไกล

ไม่รู้ว่าฟ้าจะสวยเพียงใด
ถ้ามีเธอมาอยู่บนนี้ด้วยกัน
จะพาเธอบินไปในแสงดวงจันทร์
แค่ขอมีเพียงฉันกับเธอ

ฉันจะพาเธอบินไปกับฉัน
ฉันจะพาเธอบินล่องลอยไป
จะพาเธอบินสูงขึ้นไป
ข้ามขอบฟ้าทะเลที่สวยงาม

ฉันจะพาเธอบินไปกับฉัน
ฉันจะพาเธอไปด้วยหัวใจ
ตอบแทนคำว่ารักในใจ
สุดขอบฟ้าจะไกลสักเท่าไร
...ฉันจะพาไป...

ไม่อาจจะบรรยายถ้อยคำใด - ใด
มากมายสักเพียงใดว่าคิดถึง
ก็เธอเพียงคนเดียวที่ฉันไม่ลืม
ไม่ว่าจะไกลกันสักเท่าไร

ไม่รู้ว่าฟ้าจะสวยเพียงใด
ถ้ามีเธอมาอยู่บนนี้ด้วยกัน
จะพาเธอบินไปในแสงดวงจันทร์
แค่ขอมีเพียงฉันกับเธอ

ฉันจะพาเธอบินไปกับฉัน
ฉันจะพาเธอบินล่องลอยไป
จะพาเธอบินสูงขึ้นไป
ข้ามขอบฟ้าทะเลที่สวยงาม

ฉันจะพาเธอบินไปกับฉัน
ฉันจะพาเธอไปด้วยหัวใจ
ตอบแทนคำว่ารักในใจ
สุดขอบฟ้าจะไกลสักเท่าไร
...ฉันจะพาไป...

.......................



ไพล......นั่งนิ่งนิ่ง
ทิ้งทอดใจเอนหลังไหล่พิงพนักเก้าอี้แดง
ในห้องทำงาน ที่เพิ่งย้ายลงมา  

ห้องกระจก....
ที่สามารถทอดทัศนาแลลอดไปเห็นดาวประจำเมือง
และ
เดือนดวงหวานประจำใจ 
ไหนจะยังซุ้มเรือนการะเวก
ที่กำลังเกาะเกี่ยวพ้อเขียวพร่างใส
ให้นัยน์ตายิ่งเย็นสวย สุขสงบ..


ไพล..
ฟังบทเพลงข้างบนซ้ำๆ วนวน
เพราะ..
คงไม่กี่ทิวาวัน...หากตัดสินใจได้...
ไพลอาจจะจำต้องผันร่าง 
พลางติดปีกใจ...เหินบินไปไกลแสนไกล...
จน...สุดขอบหล้าฟ้าเขียว


ไปอย่างเดียวดาย
เสมือนทุกคราครั้ง 
ยามที่...
ไพลนั่งเครื่อง...ไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศ
ที่...
มักชวนให้หยาดน้ำตาละหลั่งรินอยู่ณ..ภายในใจ
อาจ...
อาวรณ์อาลัย ทั้งแผ่นดินไทยและใครบางคน
ที่ไพลเพียงซุกซ่อน
และ.....
รอนหวัง ไร้เขามานั่งเคียง
พลางโอบกอดให้ชี้ชมให้หายตรมตรอม


มีเพียงสุขสดชื่นตื่นเต้น เร้าใจ
ไปกับการเดินทาง...ไกล

เฝ้าอิงไหล่
ดูมวลเมฆหมอกหยอกล้อพ้อพลิ้วพรายพร่างกระจ่าง
งามราวเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า  
ในท่ามความซึ้งซาบตรึงตาตรึงตราตรึงใจ
ที่ได้เคียงใจกับคนรู้ใจ เข้าใจกัน 
และ..
ได้ปันแบ่งความแสนงามแสนดี
ในอารมณ์แห่งสุนทรีย์นี้ 
ที่ขอแค่เพียงสบตากัน...เท่านั้นก็คงพอ...ก็สุขพอ...
................


ราตรีนี้..
ไพล จึงนำเรื่องรักรจนา.....ในยามที่ท่องอยู่บนฟ้า
และ..
กับทุกฉากชั้น..ซึ่งใช่ฉากฝัน หากคือฉากจริง...
ที่..
ทุกอารมณ์ดื่มด่ำล้ำสุนทรีย์
ในยามที่ไพลได้สัมผัสสรรพสิ่งแสนงามของธรรมชาติ..
และ...
คือสิ่ง..
ที่ไพลได้เพียรเททอดถอดใจรจนาระบายออกมา
จากนวลเนื้อใจ..ดวง..แสนไสวงามเหงาของไพลเองค่ะ
.....................




เดียวดายไร้จันทร์พะงันงาม!


สายลมฤดูร้อนยามค่ำพัดผมไพลปลิวไสว
ดวงดาราเริ่มทอแสงสุกใส
ขับม่านเมฆหม่นบนฟากฟ้าสีกำมะหยี่


นกสีเงิน..จอดนิ่งสงบกลางลานบิน..
ลำตัวถูกเพ้นท์งาม..
มีมวลหมู่มัจฉาแหวกว่ายระเริงคลื่นชื่นฉ่ำใจ
กับทิวมะพร้าวไสวระบัดลมเคียงกัน..

ให้ใจดวงฝันฝันทุกดวง
ได้แย้มยินยินดีมีความสุข
รอซุกซบกับอ้อมกอดของหาดทรายสายลมแสงแดด
และทะเลเงียบงาม..สีมรกต..สดชื่นสดใสบานเบิกใจ
กับฟ้ากว้างกับร่างใจพ้นพันธนา
ให้นกอิสราพาเหินฟ้าหนีจากกรุงกรง..ลงสู่เกาะ..มนต์รักแห่งทะเลใต้..



ไพล..แทบเผลอใจส่งจูบลา..
เมืองหลวงเมืองลวงเมืองเรืองรุ่งไม่ประทับใจ..
แม้นจะพรากลาไกล..ไปไม่กี่วัน..
ก็แสนดีแสนอิ่มเอม..ใจ..เสียไม่มี

แนบหน้ากับหน้าต่างมองลงสู่เบื้องล่างที่ระยิบระยับ
เห็นไฟสนามแดงน้ำเงินเหลืองพร่าง
งามราวติดปีกลอยเหนือโลก..แลละลิบ ..
ไพลแอบคิด..
หากค่ำคืนนี้ดวงชีวีไพลต้องแตกดับลาลับไป
ไพลก็คงเตรียมใจพรากลา
ด้วยจิตวิญญาณฉ่ำเย็นจนนาทีสุดท้าย
ให้มโนนึกราวลอยล่องท่องแดนสุขาวดีมิเปรียบปาน..



น้ำตาไพลซึมซึ้ง...
หลายสิ่งหนักอึ้งในดวงใจถูกปลดปล่อย
ให้ลอยคว้างวางไว้นะกลางกรุงกรง
หลงเหลือเพียงหัวใจอิสราที่ราวมีปีกจริงๆกำลังโผผิน
ทะยานผ่านหน้าต่างเมฆ 
สู่แดนฟ้า..เกาะสวาทหาดสวรรค์...



ในห้วงเวหาหาว 
ใจดวงร้าวสัมผัสละมุนวาวของพราวดาววะวับแวม

ยามค่ำ ที่ระรินร่ำ ด้วยกลิ่นไอ ของทะเลเมฆ งามล้ำเกินรำพันรำพึง 
และทะเลใจไหวหวามดายเดียว
แต่แสนสุขอบอวล ทุกอณู ทุกเสี้ยวนาที..



หยาดน้ำค้างจากตา..พร่างริน..
เมื่อไพล..มองนิ่งพบงาม*ดาวประจำเมืองประจำใจ*
ราวแทนดวงตาดวงใจของใครคนหนึ่ง
คนของหัวใจที่กำลังพรากไกลห่างกันหลายพันไมล์..



และ
ราวกับว่าดาวในดวงใจแห่งรัก..
กำลังกระพริบพราว
ราวกับจะกระซิบฝากคำอ้อน..วอน..
ว่า..
ทุกนาทีที่อุทัยโลกหมุน..
กรุ่นแห่งรักหนักแน่นภักดีจักดำรง..
เป็นนิรันดร์..ระหว่างเรา..

แม้นจะเหงางามตามลำพัง..
พลังแห่งจิตวิญญาณรักภักดิ์พลี 
จะมิมีวันมอดดับ..ลาลับเลือนไปกับกาลเวลา

หากเราซึ้งค่ารักแบบ..คนเหนือโลกโศกสุข..
รู้หยุดรู้รำงับรู้รักเย็น..รักเป็น..
รักให้งดงาม จักเป็นนิยามแห่งความสุขแท้..ชั่วนิจนิรันดร.


 
ไพล...พลันร่างบทกวีสดขึ้นในดวงใจนิ่งงันอย่างงดงาม 

*ดาวประจำเมืองเรืองพราวบนราวฟ้า
ราวดวงตาสวรรค์เฝ้าฝันถึง
คือห่วงใยอบอุ่นใจในคะนึง
แทนความซึ้งความห่างอย่างคืนนี้...
ใจดวงร้าวเหินหาวราวนกน้อย
นับวันคอยนับคืนรอมิท้อหนี
แต่ไฉนใจดายเดียวเล่าคนดี
ในราตรีมีน้ำตามาแทนเธอ
ฟ้าเมตตาให้มาเพียงแค่นี้
รับเสียทีที่ได้มาเกินพ้อเพ้อ
ถึงร่างห่างใจเดียวกันใช่ละเมอ
เป็นความเก้อความฝันมหัศจรรย์รัก*
........................




http://music.kapook.com/newmusicstation/play.php?id=1421

ชื่อเพลง/Title : ค่ำคืนแห่งจันทร์
อัลบัม/Album : เพลงประกอบละคร
สายโลหิต
ศิลปิน/Artist : ฐิติยา อรรถากร

-------------------------------------
เนื้อร้อง 

ดั่งเหมือนคื่นแรม ไร้จันทร์ฉายส่องฟากฟ้า 
เหลือเพียงดาว วิบวาวราวใจไหวหวั่น
ห่างกันแสนไกล คงไว้เพียงความผูกพัน 
ดั่งดาวรอคอยแสงจันทร์ ทุกวันฉันยังคอยเธอ

* เฝ้ารอวันนั้น ค่ำคืนแห่งจันทร์
เมื่อเราสองคนใกล้กันอีกคราว
ค่ำคืนที่ฟ้าพร้อมหน้าทั้งเดือนและดาว
เมื่อแผ่นดินเรา นั้นร่มเย็นเป็นเหมือนเดิม

ดืนผืนเดียวกัน กลั้นเราให้ห่างกันไกล
สองดวงใจแม้หวั่นวางวายไม่ห่าง
อาจคิดถึงกันแต่พร้อมยอมพลีชีพกาย
เลือดรินชะโลมไหลหลั่ง ทดแทนผืนดินที่เกิด

(*)

ฝากกับฟ้าและดวงดาวแทนทุกความห่วงใย 
ฝากถ้อยคำไปถึงเธอที่อยู่แสนไกล
ฉันจะอยู่เพื่อรักเพียงเธอเรื่อยไป








				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด