13 กรกฎาคม 2547 22:53 น.

สุดทางรัก!

พุด


พายุกำลังก่อตัวอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้ามืดทะมึน
เมฆฝนลอยเรี่ยต่ำดำสลัวทุกทิศทาง
ฟ้าแลบแปลบปลาบ..สว่างวาบอย่างน่ากลัว
ไม่นานนัก 
พระพิรุณก็เทสายราวฟ้ารั่ว อย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น



ในขณะ..ที่*แพน*กำลังขับรถอยู่บนทางหลวงสายมิตรภาพ
จากตัวเมืองโคราชจะกลับปากช่อง..บ้านไร่แสนรัก..

สายฝนหม่นมัวราวม่านหมอกหนา
พาให้หัวใจ*แพน*ระรัวด้วยความหวั่นกลัว 
ที่ต้องใช้สมาธิสูงขับรถอย่างระมัดระวัง
เนื่องจากมองแทบไม่เห็นแนวเส้นทางจราจร เอาเสียเลย


แต่..
จะหาที่หลบพายุฝนตรงไหนเล่า
ที่จะไม่อันตราย ในเมื่อ*แพน*ต้องอยู่ท่ามกลางพายุร้าย
ที่กำลังพิโรธราวไร้ปรานี


และ
*แพน*รู้ดีว่า หากหยุดรถกระทันหัน 
รถคันหลังที่กำลังตามมาคงมองไม่เห็น
และก็จะเกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย
แพน..เกร็งข้อมือกำพวงมาลัยรถด้วยความเครียด
สายฝนยังคงพรายพร่า..ซัดสาดกระจกหน้าต่างรถ
จนต้องกดที่ปัดน้ำฝนให้ปัดถี่ขึ้น...



*แพน*ค่อยๆใช้สติขับตามไฟท้ายคันหน้าไปเรื่อยๆ
เป็นจุดเดียวที่แพนรู้สึกดี ที่คิดว่ายังมีเพื่อนร่วมทาง
ในถนนสายเปลี่ยวที่กำลังพร่าเลือน
ราวกับเมืองในหมอกก็มิปาน


และ
มิอาจบอกได้เลยว่า อีกนานไหม ถึงสามารถจะหยุดรถได้
เข็มน้ำมันกำลังบ่งชี้เตือนให้รู้ว่า
เธอต้องแวะปั๊มที่ไหนสักแห่ง
ในรัศมีไม่เกินสิบกิโลเมตรนี้
และ
ราวฟ้าเป็นใจ..อยู่ดีดีพายุเบาลง
สายฝนเริ่มสร่างซา
ฟ้าเริ่มกระจ่างนิดนิดพอให้มองเห็นเส้นทาง
แพน..รีบแวะปั๊มน้ำมัน เตรียมเติมเต็มถัง
และแสนดีใจที่เห็นร้านกาแฟน่ารักน่านั่งพักยังมีแสงไฟเปิดอยู่



แพนสั่งกาแฟ 
แน่นอนที่หวังให้คาเฟอีนช่วยกระตุ้นความรู้สึก
ให้คึกขึ้นมาสักนิดสักหน่อยก็ยังดี

เพราะแพนยังต้องใช้เวลา
และพลังงานกว่าจะผ่านเส้นทางสายนี้
สู่*บ้านไร่แสนรัก*ที่ห่างออกไปอีกหลายกิโล..
และดีไม่ดี  แพนอาจจะถูกพายุทายทักอีกครา 
เมื่อมองบนฟ้ายังมืดดำ
นอกเสียจากต้องทำเวลาอย่างรีบเร่งเพื่อหนีให้เร็วออกจากจุดนี้
ที่ดูทีราวพายุพร้อมจะทำให้ไหวหวั่นอีกครา


แต่ทว่า
แพนคนดีรู้สึก ล้าเกินกว่าที่รีบได้ 
ช่างเถอะนะ...
แพนอยากแค่นั่งสบายคลายเครียดสักพัก
หลังจากอกสั่นขวัญแทบหายไปกับพายุร้ายพายุพัด


แพนจึงนั่งนิ่งนิ่งทิ้งใจเงียบๆ
มองดูสายน้ำตกจำลองที่ระรินไหลช้าช้า
ด้วยใจดวงเหว่ว้า
มองผ่านบานกระจกกว้างอย่างอ้างว้างใจ
และ
ในท่ามกลางความเงียบงามในเวิ้งความคิด
แพน..รู้สึกเดียวดาย
ราวใช้ชีวิตในโลกกว้างร้างไร้เพียงลำพัง
ตั้งแต่วันที่แพน..ตัดสินใจหันหลังหนี..*ชีวีชาวกรุงกรง*
เข้ามาสู่พงไพร ราวชะตาเล่นตลก
แพนหลับตา..และราวกับว่าวันเวลาแห่งอดีตจะหวนย้อนคืน
......................................
......................................


แพน..
เริ่ม..
เส้นทางชีวิตสายเรียบง่ายธรรมดา 
เรียนดี มีงานอาชีพครูประจำ
ได้ทุ่มเทชีวันฝันอุดมคติประสิทธิ์ประสาทวิชา
แก่เด็กด้วยอุดมการณ์นานหลายปี
สอนสั่งเด็กที่มีวัยอลวนที่น่ารักน่าชัง
ชั้นมัธยมของโรงเรียนมีชื่อเสียง


และ
เป็นอาชีพเรือจ้างที่แพนแสนภูมิใจ
แม้นเหนื่อยหนักสักเพียงไหน
ทุกครั้งคราที่สายตาสายใจ
ได้สบตาศรัทธารักพิสุทธิ์ใสจากทุกดวงใจศิษย์รัก
ก็สร้างพลังพิเศษยิ่งใหญ่นัก
ราวเพิ่มกมลให้มากมีเมตตามีชีวิตชีวาเลิกลืมความล้า..เสียสิ้น
และ


ราวฟ้าดินสิ้นปรานี..
ลิขิตชีวีให้แพนนี้ต้องดำรงร่างห่างไกลในงานที่รักที่ชอบ
เมื่อวันดีคืนร้าย 
ฟ้าได้
ได้ส่งพระเอกในฝันคนดี
ที่รักบทกวีพอกันกับแพนลงมา
แต่น่าเศร้าแสน
ที่ไม่ช้านาน กาลเวลาและ*เขา*คนนั้น
รักแพนไม่มากพอขอลาไปซบอกหญิงอื่น
ที่คงชื่นฉ่ำทรวงกว่าเป็นไหนไหน
แพนได้แต่ทำใจ
และปลอบตัวเองด้วยคำซ้ำๆราวย้ำเศร้า
ไม่เป็นไร..ไม่เป็นไร..นะใจ..ไม่เป็นไร


และนี่คือชีวิต..แพน..
ที่มักลืมคำสั่งคำสอนของแม่เสียสนิท..
แม่
ผู้เพียรพยายามสอนแพนอย่างเพื่อนสนิท
ราวรู้ลิขิตคน
ที่ผ่านกมลวกวนคนคนคนมามากมาย
สอนสั่งให้แพน..ระมัดระวัง..กายใจเรื่องความรัก
แม่บอกว่า..หาก..พานพบใคร
ที่เริ่มมาตีสนิทในหัวใจ
ให้ไหวเอนอ่อนก่อนจะยอมสวามิภักดิ์
ก่อนจะตัดสินใจไปหนุนตักไปนอนเรียงเคียงหมอน
ให้ทบทวนก่อน..นานนาน..
แม่เน้น*ดูพฤติกรรม..การกระทำ*ดูน้ำใจ
ที่สำคัญกว่าลมลวงที่ชายหมายมักใช้ลวงล่อ
ให้ติดบ่วงสวาทเสน่หาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น


นั่นซีนะ
นะนาทีนี้ทำไมแพน..เพิ่งเข้าใจ
หลังจากดวงใจมืดบอดมานาน
ที่แทบเอาชีวีไม่รอด..
ด้วยความรักแสนดีที่พิเศษพิสุทธิ์ใส
อย่างจริงใจมั่นคงหลงมอบให้
แพน..จึงคิดได้แค่เพียงให้อภัยในวันนี้นะวันนี้
และพยายามคิดดีดี
คิดบวกๆ
ก็คือบ่วงกรรมวิบากกรรม
ที่บางหนบางครั้งเรายากจะถอยหนี..เลี่ยงหลบ


และต้องจบลง
เมื่อมนต์รักหวานคลาย
โลกแห่งรักนิรันดร์ฝันแสนงามของแพน
ก็พลันพลอยมลาย
สอนให้แพนลืมตาตื่นฟื้นยอมรับความจริงของชีวิต
และ

ใช่..
แพนรู้ดี..นี่คือธรรมดาชีวีมนุษย์
แพนรู้
คนเรา
ไม่มีประสบการณ์รักประสบการณ์ใจใคร
จะสอนใจเราได้
เท่ากับประสบการณ์จริงจากชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของเราเอง
แม้นบทเรียนใจนั้น
บางครั้งเซซังแทบเอาชีวิตไม่รอดก็ตามที
แต่มนุษย์มากมีมากมายยังต้องวียนว่ายในวงรัก
เพื่อชดใช้วิบากกรรมเก่า


และ
ไม่มีรักใด ใคร ในโลกหล้านี้จะงามกว่า
รักระหว่างสายเลือดที่แสนดีแสนงาม
แสนคงที่คงทนแสนกมลละมัย

หวังมอบให้..ไม่หวังสิ่งใดใดตอบแทน
ที่บางครั้ง
แพน อยากฝากคำสอนถึงวัยรุ่นวุ่นรัก
ว่ายามอกหักรักร้าวนั้น
พลันพาให้คะนึงถึงลึกซึ้งในรักของบุพการี
จะได้ไม่คิดทำลายชีวีที่แสนมากมีค่า
และเลอล้ำกว่ารักใดในหล้าโลกนี้แล้วนะแก้วตานะดวงใจ


ความรัก..
คือทุกข์..สุขน้อย..
อย่างที่พระพุทธองค์เพียรสอน
และจนต้องยอมสละร่างหนีทางสายโลกย์ออกบวชเพื่อ
ค้นพบทางสายงามสายว่างแม้นอ้างว้างหาก
ให้ความทุกข์ห่วงหวงในรักจักได้วางลง
ไม่วนซ้ำย้ำรอย..เดิมเพิ่มชั่วกัลป์กัปป์
และ


นับจากวันฟังคำพิพากษารัก.
ใจแพนช่างซึ้งเป็นยิ่งนัก
กับคำสอนของพระบรมศาสดาเสียนี่กระไร
*การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์
การประสบกับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์*
และสรุป..
รักคือทุกข์..และ
แพนก็รู้ซาบซึ้งดีว่า
ไม่ว่าทุกข์หรือสุขเพียงชั่วครู่ชั่วคราวจากรักนั้นนั้น
ขึ้นอยู่กับกรรมของใครของคนนั้น
ว่าจะหนีพ้นบ่วงกรรมหรือไม่หรือจะต้องชดใช้ไปไม่รู้จบสิ้น
..

และ
ตนเพียงนั้นจักเป็นที่พึ่งแห่งตน
หากมิอยากหลงวนว่ายในวังเวร
ก็จงเพียรมีศีล สมาธิ 
มีสติเกิดปัญญาพาพ้นทุกข์จากรัก
ได้สร้างเกราะว่าง
ให้ใจกระจ่างร้างไร้ให้เลิกยึดมั่นถือมั่น
หากชีวีทนดายเดียว
และแข็งแรงพอมีพ่ายต่อความเหงาเปลี่ยวสับสน
บนทางทอดยาวไกล..ไร้ใครเคียงข้างแบบทุลักทุเล....


แพนจึงพยายาม
หนีคะนึงด้วยการค่อยๆวางแผนอย่างช้าช้า
แพนรอเวลา
ค่อยๆขายทรัพย์สินทีละชิ้นทีละอย่าง
เพื่อเตรียมเก็บสตางค์
ซึ่งมากพอจะใช้ชีวิตได้อย่างดิบเดิมเรียบง่าย
ในวิถีไพรในวิถีธรรม..ธรรมชาติตราบเท่านาน

เป็นความหวังความสุขสงบในชีวิต
ที่เติมเต็มได้ด้วยลิขิตจากใจตัวเอง
และในยามเดียวดายลำพังนั้น
แพมก็พยายามพาตัวเองออกไปสัมผัสไพรสัมผัสดิน
ลืมให้สิ้นถวิลหวานถวิลหวังกับผู้ใด

และ
กับวันที่ฟ้าใสแดดทอสวย..
แพนอ่านพบคำโฆษณาในหนังสือท่องเที่ยว
ที่จะพาลดเลี้ยวชมไร่องุ่น กรุ่นกลิ่นไวน์
แม้นมิใช่ไร่ชาละวัน
โฆษณานั้น
ก็เขียนเชิญชวนอย่างดิบดี
ว่าทริปนี้จะมีแต่คู่รักร่วมทาง
เป็นทริปเดินทางให้ดื่มน้ำผึ้งฝันพระจันทร์หวาน
ให้สวาทวาบหวามไปกับไวน์รสดีมีแถม
ส่วนใครที่อกหักรักราน
หากทำใจมองผ่านสุขของคู่รักได้
ก็ยินดีต้องรับร่วมการเดินทาง..


แพนรู้สึกดี
ที่บอกว่าทริปนี้มีไวน์แจกเฉพาะผู้โดยสาร
มิผ่านให้คนขับรถ
มิฉะนั้นอาจลดเลี้ยวลงคูข้างทาง
และ
แพนผู้อยากหนีความระทมตรมซ้ำซาก
จึงตัดสินลากกระเป๋าเตรียมตัวเผชิญโชค
กับโลกของไวน์.ร้าย วัยรัก..นับสิบคู่


และ
ไม่นานแพน
ก็พบตัวเองประสานเสียงร้องเพลงร่วมขบวนในรถ
ที่งามงดด้วยกลิ่นไอทั้งภายนอกภายใน
อวลไปด้วยกรุ่นกลิ่นดวงดอกไม้ร่ายมนต์เสน่หา..
วันนั้น
ไกด์..หนุ่มหล่อต้องตะโกนโหวกเหวก 
ผ่านไมโครโฟนดอกทานตะวันบานแฉ่ง
แข่งกับเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ 
ที่เป็นนิสัยค่อนข้างแย่ของบางทัวร์คนไทย
ที่ไม่ค่อยตั้งใจฟังอะไรนอกจากแย่งแข่งกันพูดเอง..



หัวใจแพนไพรใจดวงเสรีราวนกไพร
ทะยานไกลเกินคำไกด์แนะนำ
แพนตั้งใจดื่มด่ำวิวงามล้ำสองฟากฝั่งด้วยใจงามเงียบภายใน
แม้นภายนอกนั้น
ใครจะทำอะไร หากระทบใจแพนได้เลยไม่..
หากใจเงียบงามว่างและไร้ร้างจะรับรู้ดูเห็น
สิ่งที่ใจไม่ต้องการ 
ก็จะแค่เพียงผ่านราวสายน้ำไหล
ที่ไม่ขอเก็บกักพักไว้เป็นขยะใจ
ที่ไร้ค่าพารกใจ..เป็นยิ่งนัก


รถทัวร์สีขาวพราวเพ้นท์พร่าง
กระจ่างงามสดใสของลวดลายหลากสีนานาพรรณ
ดวงดอกไม้รับคู่รักคู่ขวัญ
สู่คืนฝันวันมหัศจรรย์รักกับการเดินทางไกล..

รถพาผ่านเส้นทางสายงาม
เนินสลอนอ่อนสีสลับสวย
เขียวขจีสีไพลสีทองสีตองอ่อนสีน้ำตาล
ที่เสลาล้างพร่างพันธุ์พฤกษ์

มีบึงบัวบึงใจขนาบข้าง
ในเส้นทางเลียบท้องทุ่งรุ่งรวงทอง
ดูเรียวรวงราวจะร่วง
ระย้าย้อยห้อยเคลียดินถวิลนาโคลนเลน
ไหวเอนไปตามพระพายพร่างพรม
ห่มหอมกรุ่นกลิ่นนาทองปองขวัญ
สวรรค์มนต์รักชาวทุ่งชาวนาไทย
หลอมละลายใจให้ละมุนละเมียดอย่างเหลือเกินแล้ว..

มีตาลเดี่ยวยืนต้นรอฝนรอรัก
อย่างฉากรักของสาวนารอท่าอ้าย
ที่ไร้ใจไม่ไหวครวญหวนกลับนา..



มีฝูงวัวควายเดินมาเป็นฝูง
เสียงกระพรวนในมโนพลันดังกรุ๋งกริ๋งๆ
นิ่งรับจับใจยามยลยินดำดื่ม
นั่นทุ่งทานตะวันบานจ้าไสวสว่างพร่างหลืองดั่งทองทา
คงรอท่าดวงอรุณอันอ่อนอุ่นมาโอบงามยามค่อยๆแย้มคลี่บาน
ให้ตระการตากระการใจตระการทุ่งไทยทุกทิศ..
พืชเกษตรที่สร้างงานสร้างรายได้อุทิศให้แด่ชาวไทย..


แพน..ยิ้มหวาน
หลังผ่านการดมดื่มไวน์สีทับทิมไปเพียงแก้วเดียว
เลือดในกายก็พลันซ่านซ่าส์
นวลนัยนานวลเนื้อพลันกลายสีชมพู
ดูราวรอท่าลบดายเดียวให้อวลอุ่นงามวาบหวาม
ในทุกอณูเนื้อ
ดูช่างงามซึ้งงามเศร้า
แม้นร่างร้าวไร้ใคร..ไร้ไหล่รองรับแบบคู่อื่นๆ
ก็ยังแย้มยิ้มชื่นมิฝืนใจด้วยดวงใจแสนเอิบงาม..
ยามชิดใกล้ธรรมชาติก็สุขใจก็สุขพอ..



รถที่ราวอยู่ในขบวนรถบุปผชาติ
ค่อยค่อยคลานพาหวานใจที่กำลังเบ่งบาน
ขึ้นเนินสลอนที่นอนทอดตัวทอดทอยไล่ละลดหลั่น
ราวภาพฝันภาพวาด
สลอนไศลเสลาเนินแล้วเนินเล่า
เฝ้าโอบกอดด้วยมวลดวงดอกไม้บ้าง
และขนาบข้างด้วยดงไร่ข้างโพด..ไร่องุ่น ไร่ทานตะวัน


ที่ราวย้อนคืนหลัง
คืนวันหนึ่ง
ให้แพนคนหัวใจอ่อนไหวอ่อนหวาน
ได้ซ่านซึ้งใจกับหลานน้าในดวงใจ
กอดคอเคียงไหล่กับคุณพ่อ..ร้องเพลง*เก็บตะวัน*
วันฉลองขวัญรับปริญญามหาบัณฑิต
กับหัวใจน้าแพนดวงช่างฝันนี้
ที่ใส่พลังรักปรารถนาดีร่ายบทกวี
ให้ทุกดวงใจนิ่งงันฝันพลีมีสุขไปด้วยกัน
ในคืนอันเต็มเปี่ยมด้วยคำว่าแสนภาคภูมิใจ.
..................
.

แพนมองออกไปนอกหน้าต่างรถ
เห็นความหมดจดของอากาศแสนดี
เห็นฟ้าที่แสนสรวย 
ลมระทวยกลิ่นเกสรดอกไม้ป่า
ที่ทุกครายามรถหยุดพัก..
แพนจะพยายามสูดดมด้วยดวงใจ
และไหวซึ้งไปกับเวิ้งฟ้ากว้าง นภาสล้างหอมนวล
ด้วยมวลหมู่เมฆปอยปุยนุ่มนวล..


..........
และในที่สุด
เป้าหมาย..ที่ทุกคนรอ
ก็มาจ่ออยู่ในคลองตา

โรงแรมที่พักที่ราวโรงนาฝรั่ง 
สร้างลดหลั่นไล่ไปตามไหล่ผา
และกระท่อมทับไม้ไผ่
ที่สร้างขนานไปกับบึงบัวมีสะพานทอดรอรับ
ให้จับพายวาดออกไปเด็ดบัวสาย มิขาดสายใยสวาทเสน่หา
รายล้อมกว้างไกลไปด้วยแปลงองุ่นสุดสายตา
ที่ห้อยพวงดกสุกสด

พร้อมจะนำมาแปรเป็นไวน์ไทย
ให้รสชาติไฉไลไม่แพ้ไวน์นอก
คลอเคลียด้วยสายหมอก
ราวกำลังยืนอยู่ในแคว้นใดแคว้นหนึ่งของยุโรป
และมีใครบางคนบอกว่า
ที่นี่พิสูจน์แล้วว่ามีโอโซนบริสุทธิ์เป็นอันดับเจ็ดของโลก


ใกล้ๆกันนั้น
แพน..ลองเดินเล่นไปชมวิวทิวทัศน์
เลยได้พบกับกระท่อมที่พักอีกแบบ 
เป็นกระท่อมไม้ไผ่ซ่อนตัวอยู่ในเนินเขา

และมีที่ก่อสร้าง..ราวรังนกหลายๆรังอย่างแยบยล
มีเปลนอนนอกชานกระท่อม
ให้มาหอมดวงดอกไม้ไทยรายรอบสปาท้าแสงจันทร์พรรณราย
ให้มาสบตาหวานฉ่ำหากมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์

ดูเดือนนับดาวเคล้าคลึงร่างมิห่างคลอไคล้ไล้ลูบโลม
อาบประโลมด้วยหยาดสายแสงหวานผ่านคลอเคลีย..
และแลละลิบลงคือแปลงไร่องุ่นและไร่กุหลาบ
ที่กำลังออกดอกดาระดาด
แดงเหลืองแสดส้มชมพูพราวพร่างสะพรั่งพรึบ
อีกด้านคือไร่เหลืองทองละออละอองของทุ่งทานตะวัน..ไล่ฝันไปจรดเชิงชายเขา


แพน...
ไม่อยากเชื่อเลยว่า ตัวเอง
กำลังพาชีวีหนีกรุงกรงมาได้ไกลถึงเพียงนี้
นอนดูพราวดาว
ในท่ามกลางแมกไม้หอมสะพรั่งรินส่งกลิ่นจรุงใจ
ในมือมีแก้วไวน์บางใส
สีทับทิมแดงปลั่งที่แพนกำลังใช้จิบลิ้มชิมรส
อย่างละเลียดละเมียดละไม
อย่างช้าๆ....
ให้รสปร่าแสนหวานซ่านลิ้นแล้วถึงดื่มกลืน

นะเวลานั้น
เวิ้งหุบเขาดั่งสวรรค์สรวง


และ
สำหรับลูกทัวร์ที่มาลิ้มหวานน้ำผึ้งพระจันทร์
ช่างแสนน่าอิจฉา
ที่ได้นอนนับดาวใต้เงาจันทร์
ฝันเคียงข้างไปกับผู้เป็นที่รัก

ได้ทายทักคืนฝันกับที่นอนนุ่มม่านหมอนมุ้งสีขาว
ราวนอนในฮาเร็มแสนดี
ที่แสนอบอุ่นเป็นสุขทุกทิวาราตรีกาล

แสงจันทร์กับแสงเทียน
ที่ถูกจุดตามโคมส่องประโลมให้เห็นรำไร
ลอดเรียวร่องไม้ไผ่สีสุกทอง
ส่องประกายจรัสจ้าดิบเดิม
เพิ่มความอบอุ่นอ่อนหวานที่แสนงามแสนสงบใจ


และ
สำหรับแพน..แม้นจะนอนดายเดียว
หัวใจดวงเดียวดวงดีก็แสนมีความสุข
ที่ได้ชิดใกล้แมกไม้และขุนเขา
ในเงื้อมเงาไพรฝันพระจันทร์หวาน

ที่หวังมานานวัน
กว่าจะได้มาสัมผัสฝันอย่างในคืนวันนี้...
ได้เห็นวิวขุนเขาในเงาฝน
กมล
ได้ยินเสียงไผ่กระทบสายลมพรมพร่าง
แม้นจะอ้างว้าง
ทว่าช่างงามเงียบดื่มด่ำล้ำลึกในรู้สึกเสียเหลือเกิน...


แพน..แลลอดไป
เห็นคู่รักนั่งตรงชานพักผ่อนเหมือนรอคอยตะวันลา
ให้ถึงเวลาบรรยากาศพลบค่ำ 
ที่มีแสงเทียนสีอำพันให้สบตา
พากันดูพระอาทิตย์ลาลับเหลี่ยมโลก 
ให้ซาบซึ้งปานประหนึ่งทิพยวิมานมาเยือน..



แพน..คนไร้คู่
ค่อยๆถือแก้วไวน์
และเดินดายเดียวลงไปตามบันไดวน
ลงไปยังเนินเขาเบื้องล่างห่างๆความหวานซึ้ง
ที่ทั้งดีใจและอึ้งอั้นด้วยดายเดียว
แม้นจะเพียงชั่ววูบวับรู้ดับทัน


แพนค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง
ใต้กิ่งลั่นทมดอกดกมีเด็กสาวหน้าตาใสซื่อ
ย่อตัวลงทำท่ารอจะขอเติมไวน์ให้
แพน..แย้มยิ้มและชวนคุยถามบ้านอยู่แถวนี้ไหม
และทำไมที่ดินแถวนี้สวยจังและยังพอมีใครบอกขายมั้ย


สาวน้อยใสซื่อเล่าความงามเรียบง่าย
ในการใช้ชีวิตของผู้คนชนบทแถวนี้
ที่แสนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 
ที่เธอเติบมาตั้งแต่ยามเยาว์วัย
ที่ได้หล่อหลอมใจให้รักที่จะงาม..*ให้*


และเธอ..แสนใจดี 
และยินดีจะอาสาพาแพนไปดูที่ดินในวันรุ่งขึ้น
ที่เธอ..เล่าว่างามมาก
และแถมยังมีบ้านเก่าแสนสวย
ที่เจ้าของสร้าง
และทิ้งร้างไร้ไว้และประกาศขายนานมากแล้ว
แต่ไม่มีใครกล้าซื้อเพราะถือเรื่องโชคลาง


เนื่องจากสร้างเสร็จไม่นาน ยังไม่ทันย้ายมาอยู่
เจ้าของคนผู้ชาย
ก็มาเกิดอุบัติเหตุพรายพลัดพราก
ระหว่างขับรถมาตรวจดูความเรียบร้อย
ที่จะสร้างเตรียมไว้ให้เป็นดั่งเรือนหอรอรัก

รอสาวคนรักที่กำลังจะเรียนจบ
และกลับมาจากเมืองนอก
เขามิบอกหวังจะให้เธอตื่นเต้นเห็นฝันในวันที่มาถึง
ซึ่งเธอคนดีชอบที่จะมีวิมานในไพรพง
เพราะหลงรักในลำเนาไพร
ซึ่งเธอ..ก็ทำใจไม่ได้ ไม่แม้จะกรายมาดู..หลังจากนั้น..


แพน...สนใจ
และไม่ใส่ใจในประวัตินั้น
เพราะสำหรับเธอนั้นมิได้ฝันจะทำเป็นเรือนหอรอรักใคร
หัวใจดายเดียวต้องอาศัยเปลี่ยวเหงาลำพังอยู่แล้ว
 

แพนจึงนัดกับสาวน้อยในวันรุ่งขึ้น
แม้นขบวนรถจะต้องกลับกรุงและแวะเที่ยวท่องต่อ
แพนก็เลยจำต้องขอแยกวง
ด้วยหลงใหลในมนต์เสน่ห์แห่งหุบไพรนี้ที่ราวมีชะตาต้อง
และ
ลองมาตรองดูทีหลัง
แพน..ถึงรู้ว่า...นี่คือชะตาฟ้าลิขิตมิผิดเลย..


เช้าต่อมา
สาวน้อยขับรถกระบะพาแพนไปดูด้วยตาตนเอง
ที่เธอเองลงทุนไปขอกุญแจจากคนดูแลมาแล้ว
รถกระบะขับผ่านถนนกรวดหินเส้นทางทุลักทุเล
ที่สองฟากฝั่งยังเต็มไปด้วยไร่องุ่นงาม
และสลับแซมด้วยไร่กุหลาบและไร่ข้าวโพด
สลับบางที่ที่มีไร่ผักสดเป็นระยะๆ ไล่ลดหลั่นไปตามเนินเขา
..

และนั่นราวภาพงามฝันแสนประทับใจ
ฝูงวัวลายฝูงใหญ่ก้มเลาะเล็มหญ้าดูท่าทางแสนมีความสุข
แพนแทบอยากผวาร่างลงไปกอดรัด 
เมื่อประหวัดรำลึกนึกถึงใครคนหนึ่ง
ที่หลงซึ้งในกลิ่นวัว..กลั้วเกลือกกอดรัดมาด้วยกันในวันเยาว์


นานที่เดียวกว่าจะเลี้ยวผ่านไร่ต่อไร่ทั้งไร่ร้าง
ทั้งที่ยังงามด้วยพืชพรรณเพิ่งเพาะปลูก

นอกเหนือจากไร่รายรอบที่แวดล้อมด้วยไร่ผักสดสวยงาม
และอากาศแสนหวานสดชื่นแล้ว
ยังมีสภาพบ้านชาวชนบทวิถีใจ
แบบชาวบ้านชาวไพรที่ยังงามน้ำใจมีแต่จะให้
ปลูกกระท่อมทับสลับกันไปในระหว่างทางทอดสู่
*****

และ
ยามรุ่งสาง
กับสายหมอกบางเบา พร่างพรมห่มไร่องุ่นงาม
และเมื่อแสงแดดแรกของดวงอาทิตย์อ่อนอุ่นแย้มงาม
แพนก็ถึงที่หมายชายคาแห่งรักรอ


ราวฝันไป
หัวใจแพนเต้นตึกตักๆ
เมื่อพยายามแหวกรั้วไม้เข้าไปยังบ้านภายใน
ที่นะบัดนั้นพลันสว่างกรนะจ่างงาม
ในท่ามกลางแสงอาทิตย์แรกแย้ม

บ้านสีชมพู...
ดูข้างนอกเก่าคร่ำหากงามล้ำ
ด้วยความคลาสิคแห่งสีที่ดูดิบเดิม
ราวบ้านของชาวเกาะซิซิลีในศตวรรษที่17
มีเพดานโค้งราวโรงนาโบราณที่ไว้ใช้ผลิตไวน์ 


มีบานไม้ประตูหน้าต่างแข็งแรง
และที่แสนประทับใจแพนคือ
ทุกโทนสีในบ้านเป็นสีเถื่อนดิบดูดี
ทั้งในห้องนอนที่มีเครื่องเรือนย้อนยุคน้อยชิ้น
และมีประตูไม้ทาสีแดง
มีเตาผิงยังดูใหม่

มีเฟอร์นิเจอร์อันงามวิจิตรวิไลแม้นไม่กี่ชิ้น
เป็นภาพเขียนสดใสแสนงาม
ภาพทุ่งทานตะวันอันกระจ่างใจไสวสว่าง

เฟื่องฟ้าเลื้อยพาพันมาจากรั้วด้านนอก
โน้มกิ่งหวานบานแฉล้มมาแตะแต้มห้องนอน
ให้ยิ่งงามซึ้งแบบตะวันออก
จนราวระเบียงเคียงห้องนอน
ถูกคลอเคล้าด้วยเจ้าดวงดอกไม้สดสีให้ชีวีสดใส


ไหนจะความงามภายนอกบ้าน
ในท่ามกลางไร่องุ่นและพรรณไม้เลื้อยพันรกปกคลุม
หลายพันธุ์หอมพร่าง
ตรงลานเทอเรซจรัสจรุงใจ

ให้แพนฝันไกลถึงอาหารค่ำใต้แสงเทียน
ที่คงได้ดื่มด่ำกำซาบรับประทาน
ท่ามกลางความดิบเถื่อน
แต่งดงามเกินบรรยาย

คล้ายฉากในหนังที่งามเกินจริง
งามจรุงจรัสใจด้วยไม้เมืองร้อน
อ้อนสายลมอ่อนอุ่นแลงามดุจดังภาพวาด



หัวใจแพนจึง นึ่งขึงราวถูกตรึงกับงามแปลกนี้
ราวกับว่าผู้สร้างบ้านวิมานไพรวิมานดินแห่งนี้
จะรู้ใจถอดใจแพนออกมา

เพราะแพนมักรักความงามดิบเหว่ว้า
และด้วยสีแสงด้วยดวงดอกไม้ที่รอร่ายมนต์รัก
ให้พักใจเงียบงามได้ในทุกยามแห่งฤดูกาล
ที่แพนหวังวาดให้อยุ่ท่ามกลางไร่องุ่น
และไร่กุหลาบราวเคยฝันไว้อย่างไร้ที่ติทีเดียว


และ
นาทีนั้น
แพนรู้ดีว่านี้คือ..*บ้านของแพน* 
และไม่ว่าจะต้องเทเงินจนหมดบาทสุดท้าย
แพนก็ต้องได้บ้านหลังนี้ไว้ในครอบครอง
แพนจะใช้หัวใจเททุ่มซื้อ
ด้วยจิตวิญญาณรักภักดิ์พลีที่รอคอยมาแสนนาน
หวังฝากร่างใจไปตราบถึงวันสุดท้าย..
แห่งชีวีชีวิตสถิตเป็นนิรันดร์นะที่แห่งนี้


และ
แพนใช้เวลาไม่นานวัน
ฝันแพนก็เป็นจริง
และ
กับการปรับปรุงฝัน
ให้เป็นงามจริงที่งามยิ่งกว่าเดิม

ทุกคืนค่ำแพนนอนหลับฝันดีบนเตียงโบราณ
ท่ามกลางแสงตะเกียงริบหรี่
กับ
งามเฟื่องฟ้าสีสันเฉิดฉันท์สดใสเลื้อยพันพร่างระเบียงกว้าง
ไว้ยืนชมเชิงชายเขา
ในเงาเงื้อมงามไร่องุ่นสดสด
ให้รสชาติแสนดี
ที่กรุ่นหอมเคียงกุหลาบสะพรั่งพรึบ


และจะนึกไม่ถึงว่า
ข้างนอกนั่น
มีคอกวัวได้มาตรฐาน
ที่มีวัวนมพันธุ์ดียี่สิบตัว
ที่ได้มาจาการที่มีคนซื้อชีวิตสะเดาะเคราะห์
และ
แพนขอมาเลี้ยง  
ขอเพียงน้ำนม จะไม่มีการฆ่า

แพน..พยายามใช้ชีวีอย่างงามเงียบ
ไม่มีทีวี มีแต่วิทยุเก่าพอฟังข่าวและเพลงได้
มีมากมาย
ก็หนังสือแสนรักและหนังสือธรรมฝึกจิต
แพนพยายามใช้ทุกวิถีวิธีธรรมชาติพึ่งพา
และไม่ว่าขยะหรือข้าวของเหลือใช้อะไร
แพนจะนำไปใช้ประโยชน์อีกครั้ง


และ
นี่คือชีวิตที่แพน เลือกแล้ว
ได้อยู่กับอิสระเสรี 
และอุทิศตนทำสิ่งดีดีเพื่อชุมชนในทุกทาง
...............


แพนคงอยู่ในภวังค์นานไป
ได้ยินเสียงหวานใส
เตือนบอกว่าพายุกำลังตั้งท่าจะกลับมาใหม่
ให้แพนรีบไปเสียก่อนฝนจะเทสายอีกครั้ง

แพนรีบพาร่างออกมาท่ามกลางลมที่พัดแรงขึ้นๆ
รีบขับรถออกจากร้านกาแฟอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน แพนคิดว่าคงจะได้ซุกตัวใต้ผ้าห่มอบอุ่น
ฟังเสียงลมครางฟ้าครวญ
ที่แพนมักชอบฟังสายฝนดนตรีใจ
ที่แสนไพเราะหวานพริ้งพราว
เศร้ารัญจวนใจเสียไม่มี

ฝนยังคงตกหนัก..จนสะท้อนพื้นถนน
เกิดประกาบวาววับราวหยาดเพชรพร่าง
แพนพารถลงเนินช้าๆก่อนที่จะตีวง
เลี้ยวโค้งถึงทางแยกข้างหน้าเข้าสู่ถนน..บ้านไร่แสนรัก


แต่นั่น...
แพนเห็นอะไรบางอย่างยืนขวางถนนอยุ่ตรงหน้า
วัว..ตัวเมียที่เบิ่งตาอย่างงุนงง สงสัยสะท้อนแสงไปแวววาว
แพน..ตัดสินใจด้วยสัญชาติญาณจะหยุดรถ..

เธอเหยียบเบรค!
และทันที..
รถก็ลอยละลิ่วหมุนคว้างไปตามแรงลื่นของถนน
พลิกหลายคลบก่อนจะตกไปข้างทาง


ในนาทีฉุกละหุกนั้นแพนรู้สึกราวกับว่ารถ
พุ่งไปข้างหน้าอีกและชนกับบางสิ่งบางอย่าง
อย่างรุนแรงจนสะเทือนไหว..!!!!!
แพนกรีดร้องเสียงดัง..ก่อนที่สติจะพลันดับวูบไป.........


**************				
4 กรกฎาคม 2547 23:31 น.

พลังแห่งจิตเกษม

พุด


คืนนี้แพนรอดูบอล..สอนใจ
ใครจะชนะจะแพ้..ก็แค่เกมกิฬา
หากทว่า
คงมากมายน้ำตารอท่าสำหรับผู้แพ้
และแน่นอน
ไม่มีใครร้องไห้ได้นาน
ต่อให้รานร้าวเศร้าใจอย่างไรสักเพียงไหน
เมื่อ...
คืนฝันวันวานผ่านไปกลายเป็นอดึต
ทุกดวงใจ
ก็ต้องพยายามค้นพบจบด้วยคำว่า
ลบลืมเลือนหาทางออกบอกตัวเอง
และ
แพน..ค้นพบว่า
ทุกดวงชีวีที่เรานี้เศร้าดายเดียวเป็นยิ่งนัก
เพราะเรานั้นมักผูกพันยึดติดกับคำว่า..กาลเวลา
หากเราไม่มีอดีตไม่มีอนาคต
ชีวิตเราก็คงหมดจดงดงามใจ
นะทุกดวงใจ
และ
ทุกคนดี
แพนจะรจนาสดไปเรื่อยๆนะคะ

ฟังเพลงนี้ก่อนดีกว่าค่ะ
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=290

และวันนี้
แพนได้ไปแสดงความยินดีไปงานซ้อมใหญ่
รับปริญญาที่มหาวิทยาลัยกลางกรุงมาค่ะ
ไปถ่ายรูปกับหนุ่มหล่อล่ำมหาบัณฑิต


งานนี้งามมากค่ะ
เป็นภาพแสนประทับใจอย่างที่สุดเลย
และ
แถมวันนี้หนุ่มครีพแลนด์คนดียังมีน้ำใจต่อสายมาหา
ก็คงจะเหว่ว้าหัวใจแล้วละซีนะจะมีอะไรนะ..

แพน..ขอพาหัวใจสะออน
ออกไปเดินดายเดียวแอบดูเดือนครึ่งดวงก่อนนะคะ
เดือนครึ่งดวงแอบซ่อนหน้าหวานหวานอยู่ในม่านเมฆ
และงามเงาซุ้มการะเวกหอมพร่างเลยค่ะ
แพนเลยอดใจไม่ได้ค่อยๆเด็ดดอมถนอมกลีบ
กลัวร่วงพ้อรอลา..มาหลายดอกดวงค่ะ

แพนไม่ง่วงเลยเพราะวันนี้
ยามตะวันสนธยาที่ฟ้าฉ่ำฉ่ำหลัวๆ
แพนเปิดโคมไฟอบอุ่นอ่าน*พลังแห่งจิตปัจจุบัน*
หนึ่งในหนังสือดีที่สุดที่วางแผงในช่วงหลายสิบปีนี้
เพระทุกประโยคนั้นเต็มไปด้วยพลังและสัจจธรรม
และพลบค่ำในท่ามกลางความเงียบ
หัวใจดวงนิ่งงันสงบงาม
ก็ราวเข้าสู่ภวังค์ไร้มิติลึกเลยค่ะ
รู้สึกราวได้นิทราไปอย่างอิ่มเต็ม

แพนจะแนะนำหนังสือแสนดีแสนมีค่ามาสักนิดสักหน่อยนะคะ



บทนำ..ความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้..

*ผมแทบไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
ผมอยากจะเล่าย่อๆถึงความเป็นมาเป็นครูฝึกพลังแห่งจิตนี้
ได้อย่างไรและทำไมถึงเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา

ก่อนผมจะอายุสามสิบ 
ชีวิตผมเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
หดหู่ และหลายครั้งที่คิดจะฆ่าตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
จนถึงวันนี้ผมยังรู้สึกเลยว่า
นี่ผมกำลังเล่าถึงชีวิตในอดีตของตัวเองหรือของคนอื่นกันแน่..

คืนหนึ่ง
หลังจากวันครบรอบวันเกิดปีที่ 29 ของผมไม่นานนัก
ผมตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับความรู้สึกแย่ๆเช่นเคย
แต่..วันนั้นผมรู้สึกแย่กว่าทุกครั้ง
ความเงียบสงัดในยามราตรี
เงาสลัวๆของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวอยู่ในห้องมืด
ผมได้ยินเสียงรถไฟวิ่งผ่านอยู่ไกลไกล
อะไรๆมันดูน่าขยะแขยงไร้ค่าไปเสียหมด
ที่แย่ที่สุดคือชีวิตผม 
ไม่รู้ผมจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์นี้ไปทำไม?
ผมจะดิ้นรนต่อสู้ไปเพื่ออะไร?
ผมรู้สึกอยากจะทำลายทุกสิ่ง
แม้กระทั่งชีวิตของตัวผมเอง


ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว 
ผมเฝ้าแต่ครุ่นคิดเรื่องความตาย
แล้วจู่ๆ
ผมก็ผุดคำถามขึ้นมาในหัวใจว่า
ในตัวผมเนี่ย มันมีตัวตนมากว่าหนึ่งหรือเปล่า
เพราะถ้าผมไม่สามารถทนกับตัวผมเองละก้อ 
แสดงว่าจะต้องมีอีกตัวตนหนึ่งในร่างของผมที่คอยปฏิเสธ
แต่ที่แน่ๆในตัวตนทั้งสองนั้น
ตัวตนหนึ่งต้องเป็นตัวจริง


ความคิดที่แปลกนี้มันทำให้ผมพิศวง งงงวย
หัวสมองผมหยุดคิด
ผมรู้สึกตัวดีอย่างสมบูรณ์
และในหัวอันว่างเปล่าไม่มีความคิดใดใด
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมอยู่ในวังวนของพลังงาน

มันค่อยๆจมลง เร็วขึ้น เร็วขึ้น
ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจผม
ตัวผมสั่นเทา
ผมได้ยินเสียงถ้อยคำว่า ไม่ต่อต้านอะไรเลย
ราวกับว่ามันพูดอยู่ข้างในหน้าอกของผมเอง


ผมรู้สึกตัวเองถูกดูดลงไปในที่ว่าง
ผมรู้สึกว่ามันเป็นที่ว่างข้างในตัวผมมากว่าที่ว่างข้างนอก
ทันใดนั้น...
ไม่มีความกลัวเหลืออยู่อีกต่อไป
ผมปล่อยให้ร่างของตัวเองจมดิ่งลงไปในที่ว่างนั้น
แล้ว
ผมก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น..ไม่ได้เลย!


เสียงนกร้องนอกหน้าต่างปลุกผมตื่น
ผมไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน
ผมยังคงหลับตา..
ผมเห็นภาพของเพชร
ใช่สิ! 
ถ้าเพชรเปล่งเสียงได้ เสียงมันคงเป็นอย่างนี้นี่เอง
ผมลืมตาตื่น
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา
ผมไม่ได้คิด แต่...ผมรู้สึก!

ผมรู้ว่ามันต้องมีอะไรมากไปกว่าแสงสว่างที่คุ้นเคย
แดดอุ่นๆที่ทะลุผ่านผ้าม่านนั้น
มันพึงพอใจกับสภาพของมันเอง
ผมรู้สึกว่าตัวเองน้ำตาคลอ


ผมลุกขึ้นเดินรอบห้อง 
มองดูสิ่งต่างๆ
ผมรู้ดีว่าผมไม่เคยมองมันอย่างจริงจัง
มาก่อนเลยในชีวิต 
ทุกสิ่งทุกอย่างดูใหม่
ทั้งๆที่มันอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว
แต่เหมือนเพิ่งจะมาปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง
ให้เห็นก็วันนี้

ผมหยิบจับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นดินสอ ขวดเปล่า
ผมรู้สึกพิศวงกับความงามและความมีชีวิตของพวกมัน



วันนั้น
ผมออกเดินไปรอบเมืองด้วยความตื่นตาตื่นใจกับ
ความมหัศจรรย์แห่งชีวิต
ราวกับว่าผมเพิ่งจะลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้เป็นวันแรก

ห้าเดือนต่อมา ผมใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ไม่มีอะไรมาสะดุดความสุขสำราญใจของผม
ความรู้สึกแรงกล้าในใจผมค่อยๆลดน้อยลง
บางทีผมอาจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติก็เป็นได้
ผมว่าตัวผมสามารถทำอะไรกับโลกใบนี้ได้
แม้จะรู้ดีไม่มีอะไรที่ผมทำแล้ว
มันจะเติมสิ่งที่ผมมีอยู่ให้เต็มไปกว่านี้แล้วก็เถอะ

ผมรู้ดีว่ามีอะไรอบางอย่างเกิดขึ้นกับผม 
ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอก

จนกระทั่งหลายปีผ่านมา
ผมได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ  *จิต*
และพูดคุยกับปรมาจารย์หลายท่าน
ผมจึงได้รู้ว่า
สิ่งที่ทุกคนเสาะแสวงหานั้นได้เกิดขึ้นกับผมแล้ว
ผมเข้าใจสภาพความกดดัน
ความทุกข์ทรมานยามดึก
ที่ต้องคอยบังคับให้จิตหลุดพ้นจากภาวะ
เศร้าสร้อย หวาดกลัวที่คอยหลอกหลอนไม่มีสิ้นสุด

การที่สามารถถอนตัวเองออกจากห้วงทุกข์นั้น
เปรียบเสมือนกับการปล่อยลมออกหมดจน
ความทุกข์ทรมาน..มลายหายไป

สิ่งที่คงเหลืออยู่นั้น..
คือธรรมชาติ ที่แท้จริงของผม 
เป็นตัวผมเอง
จิตบริสุทธิ์ก่อนที่จะผูกติดกับรูปลักษณ์อื่นใด


จากนั้น ผมได้เรียนรู้ที่จะเข้าถึงดินแดนไร้มิติ
อันเป็นนิรันดร์อยู่ภายใน
ซึ่งตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นที่ว่างที่ดึงผมลงไป
ผมดำรงชีวิตอยู่ในสติตลอดมานับแต่นั้น
ผมเริ่มมีความสุขกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
มันต่างกันลิบลับกับเมื่อก่อน
มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่
ผมเหมือนถูกปล่อยให้อยู่กับตัวเอง
ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีงาน ไม่มีบ้าน
ไม่มีฐานะทางสังคมใดใด
กว่าสองปีที่ผ่านมา
ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ในสวนสาธารณะ
ซับความหฤหรรษ์อย่างยากจะหาอะไรเปรียบ


ช่วงเวลาที่สวยงามเหล่านั้นผ่านมาแล้วย่อมผ่านไป
แต่สิ่งที่คงอยู่กับผม
คือพลังแห่งความสงบที่แฝงอยู่
บางทีมันแรงกล้าจนสัมผัสได้
แม้แต่คนอื่นก็รู้สึกได้เช่นกัน
และบางทีมันแอบอยู่ลึกๆคล้ายกับเสียงดนตรีคลออยู่ไกลๆ


ผู้คนมักเข้ามาถามผมว่า
ฉันอยากได้สิ่งที่คุณมีให้ฉันได้ไหม
หรือบอกฉันสิฉันจะหามันได้จากที่ไหน?

ผมตอบเขากลับไปว่ามันอยู่ในตัวคุณนั่นแหละ 
เพียงแต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง
เพราะยังมีบางสิ่งรบกวนอยู่ในใจคุณ
คำตอบนั้นทำให้กลายมาเป็นหนังสือที่อยู่ในมือคุณเล่มนี้

ก่อนที่จะรู้ตัว
ผมมีรูปลักษณ์ภายนอกอีกครั้ง
ผมกลายเป็นครูฝึก พลังแห่งจิตเข้าแล้ว!.
**************


หนังสือนี้เป็นหัวใจหลักของงานผม
พอพอกับการปาฐกถาของผม
ไม่ว่าจะบุคคลทั่วไปกลุ่มเล็กๆของคนที่ใช้เวลากว่าสิบปีแสวงหา
*สุขภาวะทางจิต*
ทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ

ผมต้องขอบคุณพวกเขาด้วยความจริงใจต่อความกล้า
ความเต็มใจที่ยอมอ้าแขนรับความเปลี่ยนแปลงภายใน
คำถามที่เป็นประโยชน์
การยินดีรับฟัง
หนังสือเล่มนี้จะเป็นรูปร่างไม่ได้เลย
ถ้าขาดพวกเขาเหล่านั้น
แม้ว่าจะเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย
ที่ริเริ่มค้นคว้า
*เรื่องสุขภาวะทางจิต*
ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น
คนที่เข้าถึงจุดที่สามารถฝ่าแนวคิดเดิมๆ
ที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของความทุกข์


ผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยเปิดทาง
ให้กับผู้ที่พร้อม
ที่จะรับความเปลี่ยนแปลงภายในอย่างสุดขั้ว

จะเป็นตัวจุดปะทุให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะถึงมือผู้ที่เห็นค่า
แม้ว่าเขาจะไม่พร้อมที่จะฝึกฝน
หรือเปลี่ยนแปลงเต็มตัวในวันนี้
แต่มันเป็นไปได้เสมอ
ที่
เมล็ดพันธุ์ที่หว่านไว้
จากการอ่านหนังสือเล่มนี้
จะไปรวมตัวกับเมล็ดพันธุ์แห่งสติปัญญา
ที่อยู่ในตัวมนุย์ทุกคน
และมันจะแตกหน่อยืนต้นอยู่ในตัวเขาเองต่อไป..



*ทั้งหมดนั้นคือ ความในใจของผู้เขียนค่ะ
เอ็กค์ฮารท์ โกลเลอ
เกิดในประเทศเยอรมันนี
ที่ที่เขาอาศัยอยู่จนอายุสิบสาม
และ
หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลอนดอน
เขาเป็นนักวิชาการด้านวิจัย
และผู้ควบคุมการสอนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
เมื่อเขาอายุ 29 
การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง
ได้สลายภาพลักษณ์เดิมๆ
และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง*

***********


แด่ทุกดวงใจ...

จริงๆแล้ว
แพนอ่านหนังสือเล่มนี้
อย่างละเมียดละไมอย่างช้าๆ
และค้นพบว่า
แนวคำสอนและความคิด
ก็คล้ายๆกับศาสนาพุทธของเรา..
จากพระบรมศาสดาเอกของเรา

ให้รู้ธรรมชาติชีวิตจากตัวตนเราเอง
ให้เราเพียรเพ่งพินิจค้นหาความจริง
จากภายในใจเราเอง
ให้
หยุดคิดให้ได้
ใช้เพียงสติกำหนดลมหายใจ..
อยู่กับความจริงเป็นปัจจุบัน
และ
สารพันทุกทุกข์ปัญหาจะคลี่คลายบางเบา
ด้วยหัวใจดวงดายเดียว
ที่เราจะมิเหงาเปลี่ยว

ให้เราเพียรพยายาม
สร้างสมาธิมีสติและปัญญาในการใช้ชีวีอย่างงดงาม
อย่างผู้ถึงพร้อม..ตายก่อนตาย..
ในท่ามกลางโลกไร้แล้งสับสนร้อนระอุใบนี้
ที่นับวันจะบิดเบี้ยวขมึงเกลียวให้ทุกดวงใจไหวหวั่น
ด้วยความกลัวด้วยความเหงา
และ
สิ่งงดงามเงียบงันพลังแห่งจิตภายใน
ก็จะบังเกิดนะกลางดวงใจใสงามของเราเอง


คนดี..
หนังสือเล่มนี้ผู้เขียน
เพียงนำมาสอดประสานกับความรู้สึก
เบื้องลึกของมนุษย์ผสมจิตวิทยาและความจริง
ที่เรามักมองหาและหวังว่า
สิ่งภายนอก..คน และ..วัตถุภายนอก
จะมาเติมเต็มจิตวิญญาณเราได้

คงหาใช่ไม่..
และด้วยดวงใจ
สักวันหนังสือสามเล่มที่เขียนโดยท่านผู้นี้
จะได้ไปอยู่ในทุกมือผู้ที่แพนรักและหวังจักบันดาลใจ
ให้คิดเย็นคิดเป็นเห็นโลกงามแม้จะต้องใช้เวลาแสนนาน
เพื่อค้นหานิยามแห่งความจริงของชีวีชีวิตค่ะ
ด้วยรักล้นใจนะคะ
และ
แพนจะนำมาเพิ่มเติมใจ
มาฝากใหม่นะคะ
เมื่อยพิมพ์แล้วค่ะ
นะคืนนี้นะวันนี้
				
4 กรกฎาคม 2547 09:49 น.

โลกฝันโลกน้ำค้างมิได้พร่างใจมิได้พร่างจริง

พุด


ตื่นมารับอุษาหอม
รับดวงดอกน้ำค้างระรินรด
หยดเพชรพราวกลิ้งงามอะคร้าวกลางใบพฤกษา
รับกลิ่นถวิลหาถวิลหวังถวิลหวานจากงามพวงพะยอม
รายรอบล้อมวิมานไพรวิมานภักดิ์

ฟังบทเพลงรักบทเพลงฝัน..และ
อยากแบ่งปันปลอบประโลมทุกดวงใจในร่มรักนะคะ
ฟังด้วยกันสิคะ

 

http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=1873
โลกแห่งความฝัน   
ใหม่ เจริญปุระ : : Key Ab  

เมื่อชีวิต ยังรักที่จะฝัน
และบอกกับใจ ทุกวันที่ผ่านมา
ด้วยปีกแห่งฝัน จะโบนบินไปถึงฟ้า
หวังจะไปให้ถึงในซักวัน
กว่าชีวิต จะพ้นไปอีกวัน
อีกกี่ความฝัน ที่ฉันจะไขว่คว้า
อีกกี่คำถาม ที่รอคอย การค้นหา
แล้วถึงรู้ว่ามัน ไม่มีจริง
โลกแห่งความจริง
ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด
โลกแห่งความฝัน
ฉันมองเห็นวันสดใส
แต่ในวันนี้ โลกแห่งความฝัน
ทอดทิ้งฉัน ไปไหน
โลกไม่สดใส เหมือนวันก่อน
กว่าจะรู้ ชีวิตคืออะไร
กว่าจะรู้ หัวใจคงอ่อนล้า
เฝ้ารอความฝัน
ให้ตกตะกอนช้า ช้า
เพื่อให้ฝันชัดเจน และเป็นจริง

โลกแห่งความจริง
ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด
โลกแห่งความฝัน
ฉันมองเห็นวันสดใส
แต่ในวันนี้ โลกแห่งความฝัน
ทอดทิ้งฉัน ไปไหน
โลกไม่สดใส เหมือนวันก่อน
กว่าจะรู้ ชีวิตคืออะไร
กว่าจะรู้ หัวใจคงอ่อนล้า
เฝ้ารอความฝัน
ให้ตกตะกอนช้า ช้า
เพื่อให้ฝันชัดเจน และเป็นจริง...

***************



และพลันหัวใจ
แสนสุขสงบพบดายเดียวล้ำลึก
เหมือนหยาดน้ำค้างในไพรพฤกษ์ร่ำระรินในยามดึก
ที่รู้สึกราวดั่งจะดื่มกินได้
พอรุ่งรางก็จางหายไป
ไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์
ในโลกฝันราวคืนวันไร้มิติแห่งกาลเวลา

หยาดฝนจากฟ้าดั่งน้ำตานางฟ้า
ดั่งน้ำค้างจากตาค้างคาใจ
ตกผลึกดั่งเพชรใสนิ่งงามนะกลางใจ
น้ำตาใจหยุดไหลนานแล้ว
เสียงแผ่วแผ่วแว่วหวานมาจากโค้งคุ้งรุ่งอรุณแห่งปลายฟ้า..
เลือนหายไปกาลเวลากับสายลมอ่อนอุ่นในยามค่ำ
ทุกสิ่ง
แปรผันยอกย้อนลวงหลอนหลอกใจไปวันวัน
ก็เท่านั้นเท่านี้ชีวันชีวีมนุษย์
มิรู้สิ้นสุดตราบใดยังไม่ค้นพบความจริง
ว่าทุกสิ่งคืออนิจจังอนัตตา

รู้ลบลืม..
คำว่า..*กาลเวลาในอดีตอนาคต*
สร้าง
เพียงหมดจดใจจับกับปัจจุบันทุกวินาที
มิมีโลกฝันใดไม่มีโลกในอดีต
ไม่มีเจ้าไม่มีใจใครมาทำให้ทุกข์ทนหม่นหมองครองใจนาน
ไม่มีหวานกมลรอใคร....
มี
เพียงใจใสนิ่งนิ่ง
ทิ้งระทมทับดับด้วยดวงดอกความดี
กำลังผลิงามนะกลางใจ
ที่รู้ทันเท่า เพียงเท่านั้นเท่านี้นะชีวีขวัญยอดดวงใจ
แล้ว
ทุกสิ่งในโลกนี้
จะสดใสหอมหวานดั่งดวงดอกไม้ตระการ
รอคลี่กลีบแย้มบาน
ให้ใจสัมผัสละมุนกรุ่นกลิ่นได้ทุกนาที
รู้เพียงนาที  นี้เรายังมีดวงตาดีดวงใจงาม
มองทุกงามในสรรพสิ่ง
รู้นิ่งพินิจ..มีสติมีสมาธิ
มิหลุดไหลหวนหาใครไหวคะนึงครวญ
และ
ในความนิ่งงันเงียบงามนั้น
พลันจะพบพรายแสงสว่างพร่างพา
มิติว่างกลางเวลา..
ให้เกิดระลึกรู้
โลกนี้.ช่างน่าอยู่ดูงามเสียนี่กระไร..


 
				
3 กรกฎาคม 2547 19:03 น.

ปราการอันงามสงบ

พุด


URL http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=716

ปริม..เป็นสถาปนิก
ถูกว่าจ้างให้สร้างบ้านเลียนแบบพระราชวังโบราณ
ในสมัยกลางของชาวอาหรับ
เจ้าของ..เป็นหนุ่มหล่อ
ทอล ดาร์คแอนแฮนซั่มแสนร่ำรวยและมีอนาคตไกล


และ
เพียงแค่ไม่กี่ครั้งหลังพบปะฟังทัศนะ
เพื่อรับมาออกแบบให้เขาพอใจในงานงาม 
ตามประสาอาชีพที่จะเรืองรุ่ง
หากพบเจอลูกค้าไม่จู้จี้ 
และ
มีทัศนะกว้างไกลพอไปกันได้
มิใช่ให้สถาปนิกออกแบบ และแก้ไปแก้มา
จนแบบวิจิตรวิลิศมาหราด้วยไอเดียงาม 
ได้กลายแบบร่างเป็นโรงลิเกแทนในไม่ช้า


สำหรับ*เขา*คุยไม่กี่ครั้ง
ปริมก็สามารถสัมผัสได้
ถึงความคิดพิเศษพิสุทธิ์ของเขาอย่างไม่คาดฝัน

*หัวใจดวงที่งดงามรักเงียบงัน 
ฝันอยากแยกโลกและร่าง ห่างๆวิถีภายนอก
ที่เขากระซิบบอก เบื่อเหลือทน
ราวจนใจ
ต้องทนสวมหน้ากากลวงโลกทั้งวัน
กับภาระกิจอันวุ่นวายสับสนต้องพบผู้คนวันละมากมาย


ฉะนั้น
บ้านในฝันของเขาขอให้ซ่อนอยู่ในเงื้อมเงา
ภายใต้*ปราการแห่งความสงบ*
ที่เขาพยายามยกหนังสือเป็นตั้งมาให้ปริมดูเพื่อรับไอเดีย
ให้ดูวังโบราณ ที่สร้างขึ้นในกำแพงหินในศตวรรษที่18
ที่เป็นของราชวงศ์เลบานีสพระองค์หนึ่ง
ซึ่งเขาบอกแสนจะประทับใจตั้งแต่นาทีแรกที่เห็น


อันดับแรก เขาบอก
ปริม..ต้องออกแบบหลอกตา
ให้ซ่อนอยู่ท่ามกลางป่าละเมาะ
ที่ต้องลัดเลาะเลียบ
ซากป้อมกำแพงเมืองโบราณ
มีประตูหินโค้ง เต็มด้วยเศษอิฐหักพัง


และกำแพงนั้น
ต้องทิ้งช่องโหว่ว่างราวร้างไร้รกเรื้อมานาน
และให้แฝงมหัศจรรย์เหลือเชื่อไว้นะเบื้องหลัง
คือบ้านราววัง..โบราณ
หลังป้อมปราการแห่งงามสงบนั้น


*เขา*  ถามย้ำ
ปริมทำได้ไหม..สานฝันให้เขาได้ไหม..
ปริมคลี่ยิ้มหวาน...
ก็งานของปริมนี่นา
สู้ร่ำเรียนมาจนได้เกียรตินิยม
อาชีพอันตรอมตรม 
ที่บางครั้งบางคราหากเดาอารมณ์ลูกค้าไม่ถูก
ก็ต้องแก้แบบครั้งแล้วครั้งเล่า 
จนกว่าเจ้าของงานจะพอใจ


ปริม..ล้มลุกคลุกคลานผ่านหนาวร้อนมา
กับเล่ห์เหลี่ยมคนที่มักจะเอาเปรียบกัน 
มิคงมั่นในสัญญา
พากันโกงค่าแบบ มากร้อยพันแบบประสบการณ์


แล้ว
ทำไมงานนี้ 
หัวใจดวงดีดวงงามจะไม่หวั่นไหวดีใจ
ที่พลันพลอยกระตุกวาบด้วยปลาบปลื้ม
ดื่มด่ำราวพบขุมทรัพย์ล้ำค่ามหาศาล 
ได้พานพบลูกค้าชั้นเลิศ
ราวหัวใจดวงเดียวกัน 
จะปล่อยฝันให้พลันหลุดลอยไปได้ยังไงกัน


เมื่อ..*เขา* คนดีนั้น
เปิดไฟเขียว
ให้
สาวปริมใส่ฝันได้เต็มที่พลีจิตวิญญาณได้เกินร้อย
แล้วเรื่องอะไรจะถอยหลัง 
ทั้งๆที่ยังไม่ทันชกหรือออกหมัดฮุคด้วยเล่า
ปริมเพียงหวังรุกให้ลูกค้ายอมรับนับถือฝีมือ
ในแนวที่ปริมแสนรักแสนถนัด 


ราวกำลังได้ออกแบบบ้านสร้างหวังหวานผ่าน
ความคิดว่าคือรังรักในจินตนาการของตัวเอง
ให้บรรเลงอย่างไม่ต้องเกรงใจใคร..


ชั่วไม่นานวัน...แบบร่างพร้อมภาพเหมือนจริง..งามกว่าจริง
ภาพเพอร์สเปคตีพที่สายงานอาชีพต้องสเก๊ต
เผด็จใจชนะใจลูกค้า
ที่บางคราบางคนดูแปลนไม่ออกบอกไม่ถูก..
ไม่กล้าตัดสินใจจะถีบส่งไปดี
หรือจะรับไว้..ก็แล้วแต่ฝีมือ..ฝากใจ


สำหรับงานนี้
*เขา..คนดี *ตะลึงตะไล 
ราวร่างใจแทบผวามากอดปริม 
ผู้ยิ้มอิ่มเอมทายใจเดาใจถูก
*เขา*ระล่ำระลัก เหมือนเด็กๆ
ที่ปริมนั้นได้เสกสรรฝันให้เป็นจริงในกระดาษแล้ว


และ
นี่เพียงขนาดแค่วิมานในอากาศกระดาษ เพียงนั้น
เขายังดีใจเพียงนี้แล้ว
วันที่ฝันเขาถูกสร้างเนรมิตรให้จริงจะยิ่งสักเพียงไหน
เขาคงเหมือน
เด็กได้ของขวัญพิเศษถูกใจที่ราวรอคอยมาทั้งชีวิตเลยทีเดียว


เขายามย้ำซ้ำๆว่าปริมทำได้ไง ...
 ทำไม
เหมือนถอดใจถอดจิตวิญญาณเขาออกมาได้
อย่างหมดจดงดงามใจมากเหลือเกินแล้ว
.

ปริมไร้คำตอบ
ก้มลงลอบมองภาพเพอร์สเปคทีพตรงหน้า
ที่มี
ทั้งภาพเบิร์ด อายวิว
ภาพด้านข้างด้านหน้า
และภาพงามจริงราวจำลองมา
จากความฝันที่ทำให้
นิ่งงันอั้นอึ้ง กันทั้งคู่


ใช่แล้ว
ปริมทำได้ไง ก็ไม่รู้
รู้เพียงว่าตอนนั่งออกแบบ
รังรักในจินตนาการ..งานนี้นั้น
ปริมเปิดบทเพลงฝันฟังคลอเคล้าใจไปตลอดเวลา
และ
สมมุติตัวเองว่าบ้านหลังนั้น
คือบ้านในฝันของปริมเองนะซี จะมีอะไร
นี่คือเคล็ดลับที่ปริมมักใช้สายใจสายใยรัก
ถักทอทอดสอดประสานผ่านความคิดมาเป็นรูปเป็นร่าง
สวมวิญญาณ ผ่านความรู้สึก....

หรือลึกลึก
ปริมอาจจะรอเวลา
ที่จะทำงานด้วยหัวใจด้วยจิตวิญญาณ
มานานนักหนาแล้วก็เป็นได้
ที่เป็นบ้านงามเรียบง่าย คล้ายปราสาทแห่งความฝัน
เบื้องหลังปราการอันงามเงียบ
ที่นึกรักความงามดิ่งลึก 
แบบเข้าถึงความรู้สึกอันแสนอลังการยิ่งใหญ่


ในขณะ
ที่หวังให้หัวใจผู้อาศัยอยู่ภายใน
มีแต่ความร่มเย็นสงบงาม
ท่ามกลางสงครามความขัดแย้ง
แห่งโลกภายนอกที่ร้อนแรงระอุในเชิงธุรกิจ


*เขาบอก*
ให้ปริมสร้างกำแพงบ้านลอกเลียนแบบของเก่า
สร้างรอยปูนกระเทาะและ
ทิ้งรอยคราบเก่าๆต่างๆอย่างเสมือนราวรอยอดีต
ผ่านกาลเวลามายาวนานนัก อย่างละเอียดละออ
และ
ขอให้มีรอยหลุดลอกบอกความเป็นบ้านเก่า
ซ่อนเอาทุกเทคนิคการติดตั้งอย่างแนบเนียน


โอ้ละหนอหัวใจสถาปนิกสาวช่างฝัน
ผู้ขยันวาดวิมานในอากาศในกระดาษก่อนการสร้างจริง
ถึงกันนิ่งงัน ด้วยซึ้งฝัน
ไปกับเจ้าของที่จะกลายเป็นจริงในไม่ช้า
ช่างแสนน่าจะปลาบปลื้มภาคภูมิใจ
ในชีวีหนึ่งนี้ 
ในอาชีพนี้ที่ได้สัมผัสอะไรมามากมาย


ได้รู้จักเศรษฐีเจ้าของโครงการ
ได้ผ่านงานและโลกวัตถุมากมี
โลกคนรวยที่มีเงินล้นฟ้าหาความสุขไม่ได้
เวลาให้สร้างบ้านให้ออกแบบตามไปทุบไป
ด้วยเชื่อพลังในเรื่องฮวงจุ้ย
 บางทีแก้แบบไปแก้แบบมา
พาเครียดทั้งผู้ออกแบบ
และเจ้าของที่ต้องมาเสียเงินทองมากมาย 
เนื่องจากมารู้จักซินแสทายทักทีหลัง
ให้ไม่มั่นใจ 


ไม่นานเท่าไร
ก็เครียดเส้นโลหิตแตก
 แทบไม่ได้อาศัยบ้านอยู่
ที่แสนหรูแสนแพง


และ
นี่คือชีวีมนุษย์
ที่มิสุดสิ้นความต้องการมากมายมากมี
อยากมีบ้านภายนอกงาม 
หากลืมสร้างบ้านภายใน
สร้างฐานรากแห่งดวงใจให้แข็งแรง
รองรับสรรพสิ่งที่วิ่งใส่วิ่งชนได้


ให้รู้รักรู้หยุด
รู้จักรู้จับ
รับงามเงียบในทุกยาม
เพราะ
หากเราคิด....คิด  มิรู้หยุด 
ในที่สุดหัวใจ..จะไม่พานพบบ้านใดใดเลย
ที่แสนสุขสงบใจ...แม้แต่เพียงหลังเดียว


และ
จิตวิญญาณ
ต้องเที่ยวท่องแบบร้างไร้ คล้ายจนเสียยิ่งกว่า..คน
ผู้ไม่มีบ้านภายนอกหลอกอวดใครอวดบารมี
หากทว่า


*เขาคนดี*นั้นมีบ้านภายในบ้านในดวงใจ
แสนสวยใสงดงามละไมละเมียดแข็งแรง 
ใจที่ร่ำรวย ด้วยความดี มี สมาธิ สติ มีปัญญา
พาให้หลุดพ้นจากวังวนเวียนว่ายในวัฎฎสงสาร 



ที่มิต้องหวานชื่นต้องขื่นขมระทมทับ
และแตกดับดวงใจดวงจิต
ติดหลงกลับมารับว้าเหว่เดียวดายดายเดียว
นับอสงไขยในเวลามิอาจหลุดพ้น....ผลกรรม..
				
1 กรกฎาคม 2547 09:41 น.

จดหมายรักกับดวงดอกไม้ในฝันคืนจันทร์เต็มใจเกษม!

พุด


นาทีนี้
แพนมีความเกษมสงบสุขมากค่ะ
แพนเชื่อว่า
ความรักแท้จะไม่มีวันทำลายใคร
เพราะรักแท้
จะไม่มีวันเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง
เหมือนที่ใครบางคนเคยให้คำมั่นสัญญา
กับแพน ที่แพนจำตราไว้ ภายในจิตวิญญาณแล้ว
แพน..เชื่อว่าเฉกเดียวกับความเกษม
ที่ไม่มีวันเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์
มาตรแม้น
เราอาจจะได้สัมผัสความรักความเกษม
เพียงช่วงสั้น อันแสนงาม
ก็จักจะยังคงเป็นนิรันดร์รักมหัศจรรย์ใจเสมอใจเสมอไป

ไม่มีใครสูญเสียใครไป
แม้นไม่ได้มา
เพราะว่ารักนั้น
จักประดับพร่างนะกลางดวงชีวาของเราเอง
เป็นธรรมชาติ
แม้นใจแม้นใครก็มิอาจทำลายความคิดได้
แม้ฟ้าจะมีดมนสักเพียงใด
พระอาทิตย์ก็ยังจรัสแสงอยู่อีกฟากหนึ่งของมวลหมู่เมฆ..ค่ะคนดี
และ



คนดี....
นานแล้วที่ไม่ได้เขียนเมล์รักจดหมายรัก
และพอดี
ตอนนี้ที่กำลังอินเทรนด์อินใจ..
ในทุกดวงใจนักอยากจะเขียนเพียรสร้างฝัน
กันเป็นทิวแถวก็..
คือ
จดหมายรักค่ะ..และเป็นหนังรักมหัศจรรย์รักมหัศจรรย์ใจ
ที่แพน..ยังไม่ได้ไปทอดทัศนานะคะ
เพราะแค่คำโฆษณาก็กลัวว่าจะหลั่งน้ำตาท่วมโรง
และเหตุผลแสนดีที่แท้จริงคือ
แพนไม่มีอกใครและไหล่ใครให้ไหวหวั่น
ไปอิงอกพลันให้รอซับหยาดน้ำตานะซี จะมีอะไรเสียอีกละคะ
เพระทุกคราในชีวานี้มักตกที่นั่ง..
ดูหนังคนเดียว..เดินคนเดียวทำอะไรคนเดียว
ดายเดียวค่ะ..ประจำชีวีชีวิตก็ว่าได้
ใจชอบด้วยมังคะ..ชอบทำอะไรคนเดียว..
เหมือนในเรื่อง


*ลำพังกับจันทร์แรม*


เย็นนี้ ฟ้าสวยเหลือเกิน 
สีฟ้าอ่อนอมเทาบางเบา เจือส้ม ชมพู ม่วง
จนยากจะแยกออกว่าเป็นสีใด 
รู้แต่ว่าเป็นสีท้องฟ้า 
ที่อ่อนหวาน ปานสายไหมเลื่อมพรายพราว

ตะวันเรี่ยยอดไม้โรยตัวลงช้าๆ
ทิ้งแสงสีราวรุ้งทาบทา
เป็นช่อชั้นส้มปนแดง 
จับเมฆหวานปานวิมาน ยามใกล้ค่ำ

จันทร์เสี้ยวตะแคง ขี้เกียจ
 แขวนอยู่กลางฟ้ากว้างแล้ว 
รอเวลาทายทักราตรี
ที่จะจุดเทียนแสงดาวประดับฟ้า
ให้พราวพรายนับพันล้านเล่ม เต็มอ้อมฟ้า เต็มอ้อมฝัน..

ชาวสวนหลังบ้านก่อกองไฟ..
ควันไฟลอยอ้อยอิ่งแตะปลายกิ่งไผ่ที่ไหวเอนล้อลม....
พ้นดงไม้ขึ้นมา ช้าๆ 
ให้ได้สัมผัสกลิ่นนี้
ที่หวนไห้คิดถึง ท้องทุ่งนา ท่ามกลางป่าดงและไพรกว้าง

ยอดโดม..สีขาวบ้านเพื่อนบ้าน 
ล้อแสงตะวันราวอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน...

ยามนี้ที่ฉันราวอยู่ลำพัง...คนเดียวในโลก .........
เวทีท้องฟ้า..
เล่นแสงสวยช้าๆให้จับนัยน์ตาในใจ..ไล่โทนสีไปเรื่อยๆ..
ด้านโน้น ด้านนี้ 
ฟ้าเปลี่ยนสี 

เหมือนจะบอกเรานี้ว่า 
ใจคนเราก็ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนแปลง..

เป็นลำพัง...ที่แสนดี ในความคิดความรู้สึก 

มีเพียงนกน้อยๆ เกาะกิ่งโมกอย่างโดดเดี่ยว เป็นเพื่อนใจ

ฟ้า..มืดแล้วนะ..แต่ใจกลับนิ่ง สว่าง สงบ 
ไม่พบกับความวุ่นวาย สับสน ด้วยได้อยู่ลำพัง..

เอนกายราบ..ทอดตาจับฟ้าเบื้องบน 
ฟ้าเริ่มมืดหม่น..
แต่จันทร์เสี้ยวกลับทอแสงนวลใยโลมไล้ราตรี...
และใจดวงนี้ ให้คลายหม่นราวเมตตา..........

มองจากเบื้องบนลงมา......... 
หากฟ้ามีตา.....
คงเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง..
นอนนิ่งเงียบ..เดียวดาย..ลำพัง..กับฟ้ากว้างและจันทร์แรม.......
*************





ประมาณนั้นประมาณนี้ค่ะ..
คนดี...
สัญญาว่าจะเขียนถึงตั้งแต่ฤดูร้อน
ตอนกลับบ้าน...เกาะแสนรัก..มหัศจรรย์รัก
หลังจากกลับมาใหม่ๆหมาดๆ
นี่ก็พลาดมาถึงยามวสันตฤดูแล้วนะ
จนปีศาจวสันต์มาร้องร่ำครางครวญหวนไห้แทบทุกวันแล้ว
ก็ยังไม่ได้รจนาภาษารักภาษาใจภาษาละไมละมุนกรุ่นคิดถึงฝากให้
อาจจะเป็นเพราะ
ระยะนี้..น้ำตาลในหัวใจในเลือดต่ำจังค่ะ
เบื่อคำว่ารักจังรักจริง
อยากวิ่งหนี..วันละหลายร้อยหนเลย..
แค่แพนตั้งใจ
จะพยายามเค้นใจรจนาเรื่องรักให้ครบ500
แล้วว่าจะพักใจไม่หวามไหวหวานหวามหวั่นแล้วค่ะ
ว่าจะหันไปเขียนเรื่องแนวอื่นแทนแล้วนะ
เอาล่ะ
เมื่อนับดูยังไม่ครบก็จะร่ายบทพรรณารักพรรณาสด
อีกหลายบทหลายบาทฝากพิษ(พิสวาทใจ)ไปพลางๆนะ
ทนๆอ่านหน่อยละกัน
คนดี
จำได้ไหม
นาทีแรกที่เราพบกัน
ในยามสนธยาฟ้าร่ำรินสีแสงงาม
เหมือนในเรื่องคำมั่นสัญญาของพุดพัดชา
ที่บรรยายฉากวิมานม่านเมฆไว้งามมาก

**************



*คำมั่นสัญญา พุดพัดชา 
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=480

เรือเฟอรี่ลำใหญ่...วิ่งฝ่าทะเลเงิน..งามเข้ม..
จนเกิดฟองคลื่นขาวนวล..กระจายรายรอบลำเรือ...
รัศมีฟองฝอย..ริ้วรายพรายพร่าง..
แผ่วงคลี่คลุมผืนน้ำจรดฟ้า..แลเวิ้งว่าง..กว้างไกลสุดตา....

ยามเย็น..อาทิตย์ดวงโตสีส้มสุก..ใบใหญ่เท่ากระด้ง..ใกล้ลาลับฟ้า....
แตะต้อง..ทายทักทะเล..อย่างอ่อนโยน..
นิ่มนวล..รู้ใจ..ร่ำลา..อ้อยอิ่ง..ทิ้งแสงสวย............

เบื้องบนนภา..รัศมีสีรุ้ง..ฉายฉาน..ส้ม..ปนเหลือง..
แสดแดงแรงร้อน..เริ่มราโรย..ในม่านเมฆ........
ซ่อนละมุนอุ่นไอ..กลมกลืน..ในพยัพหมอกบางเบา..นวลนุ่ม..
ดุจสายไหมหลากสี..สลับเลื่อมซ่อนลาย

คล้ายดั่ง..วิมานเมฆ..
ดังทิพย์สวรรค์ลอยเลื่อนจากฟ้า..มาแตะต้องโลก.........
ทายทัก..พักสายตา..พาสายใจไหลหลง..สัมผัสแลงาม..
.ตะลึงใจ..ตะไลฝันกับงามล้ำของม่านเมฆ..มนต์ขลัง
เสน่ห์ทะเลไทย.....
ตรึงดวงใจทุกดวง...ดื่มด่ำบนดาดฟ้าเรือ.....
ยามสนธยา..ใกล้ราตรีมาเยือนแย้ม........
************




หากฉากนี้นางเอก..นุ่งกางเกงขาสั้นที่สั้นมาก
สั้นแบบสิ้นสงสัยนอนสยายผม..ยาวสยายนะแคร่ไม้ไผ่ริมเรือน
ใต้ซุ้มพวงชมพูที่กำลังออกดอกมิหรูหากหวานพรูพราวเลื้อยพัน
เกาะเกี่ยวกันกับซุ้มการะเวกและแมกไม้ไทยนานา
คนดี
จำได้ใช่ไหม..คุณตกใจคิดว่านางไม้นางไพรค่าที่มานอนอยุ่ในเงาสลัวลาง
หากเพราะผมทอประกายจรัสในความืดที่ทำให้คุณใจชื่นชื้นขึ้นมาหน่อย
และกับร่างมิได้ห่มสะไบรักสะไบภักดิ์..เพียงนั้น



คนดี...
คุณบอกในท่ามกลางความสลัวนั้น
คุณเห็นความสล้างจากน้ำในแววตาพร่างวะวับ
ที่คุณบอกงามจับใจมาก..ยามเราเจรจาทายทักกัน
และคุณบอกว่ายามได้สัมผัสภาษาพูดของฉัน
สาวแพนแม่แขนอ่อน
ผุ้หญิงหัวใจสะออนขี้อ้อนแล้วคุณยิ่งงงงัน
ที่คุณพลันบอกกลัวความพิเศษพิสุทธิ์นี้
ราวหวั่นรู้ชีวีภายหน้าจะพบฝันร้ายมากกว่าฝันดี
และต้องมีคำพลัดพรากจากเจ็บรอ...
เหมือนดั่งคำสัจจธรรม*ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์*เลย



คนดี
แล้วมากนาทีแสนงดงามก็ตามมาค่ะ...ก็ฝากในเรื่องนี้ไงคะ
ผู้หญิง. ดอกไม้ กับสายฝนในคืนแรม..
**************


ฝนตกพรำพรำ อากาศหอมชื่น..
กลิ่นดอกแก้วหอมระรื่นระรินลอยมากับสายลมเย็น..
ไพล ซุกตัวในผ้าห่ม หลับตาฟังเสียงฝน..กระทบหลังคา..พริ้งพราว..

พลัน..คิดถึงอดีต........นานมา...
ในราตรี ที่ฝนพรำฉ่ำฟ้า อย่างนี้..กับคืนที่มีใครบางคน....
คืนที่ซ้อน..มอเตอร์ไซด์ ท่ามกลางสายฝน 
จากโค้งอ่าวหนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง..
เส้นทางที่รถยนต์ใช้การไม่ได้..เส้นทางอันตราย 
เย้ยฟ้าท้ามฤตยู ที่ตัดเลียบเนินผาสูง
เส้นทางที่มองลงมาเบื้องล่าง จะมีหุบเหว ให้หวิวหวั่น..
แต่ราวจะลอยเลื่อนสู่สวรรค์ของหนุ่มสาว 
ยามที่มีคนรักโอบเอวแนบแน่น ทะยานปีนขึ้นผา ท้าหวาดเสียว..

เส้นทางที่..เขาของไพล..บอกว่า จะไม่มีวันลืม คืนฝันอันตรายนี้..
คืนที่ร่างสองร่าง เปียกโชก และเนื้อแนบเนื้อ ใจแนบใจ 
ไร้สิ่งใดมาขวางกั้น เพื่อบึ่งขึ้นไปยังโขดหินที่มีศาลาให้หลบฝน..
เป็นคืนฝันอันงดงาม ...ที่คิดคราใด ก็วาบหวามไหว 
ในความทรงจำรำลึกของไพลทุกคราครั้ง

บางเวลา..ไพล..อดคิดไม่ได้ว่า..
ในความทุกข์ระทมจากรัก เราทุกคนก็จักมีสิ่งสวยงาม แสนดี
ให้มิรู้เลือนลืม เฉกเช่นกัน..

คืนนั้น..คุณคนดี มัวแต่สาละวนเอาผ้าเช็ดหน้าผืนโต 
คอยเช็ดหน้าเช็ดผมให้ไพลอย่างทะนุถนอมเบามือ
ด้วยห่วงใย กังวลว่าไพลจะไม่สบาย จนลืมคิดถึงตัวเอง..
รอเวลา..ให้สายฝนที่พร่างสายขาดเม็ด สร่างซา ให้ฟ้าเปิด..
เพราะหากขับลงไปดีไม่ดีจะลื่นไถลมีอันตราย
จากทะเลโคลนที่ไหลบ่ามากับสายน้ำจากภูเขา..

กลิ่นดอกไม้ป่า....อวลหวานละมุนมากับ..สายฝน..
นั่งเคียงกัน ดูทะเลเหงาเหว่ว้า 

เบื้องล่างลิบๆราวกับผืนกำมะหยี่ในเงามืด กับราตรีที่ไร้จันทร์ส่อง..
เป็นคืนแรม..ที่หัวใจไพลแรมๆรอนๆเสียยิ่งกว่า..
เมื่อมองสบตากันนิ่งนานในเงาสลัวของคืนฟ้าหม่นไร้สิ้นแสงดาว ...

บรรยากาศหวานหวานเป็นใจ..
ให้ดวงใจสองดวงหลอมละลาย..
เบียดชิดร่างให้หนาวคลาย 
เคลื่อนใกล้เข้ามาสู่อ้อมกอดอุ่นหวานละมุนละเมียดใจ
ไพลซบหน้ากับไหล่กว้าง เขาเคลียแก้มคางเชยชม..

โลกหยุดหมุนลงนาทีนั้น กับฝันสล้าง
แสนงามของสองดวงใจ..ที่งามงดหมดจดใจ 
ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น..

**********************



กลับมานะนาทีนี้ดีกว่านะคะ
ด้วยเบื่อรจนารักต่อจึงขอหยุดจดหมายรักไว้อีกแล้ว
แอะ..แอะ..ตลกมั้ย
กับการเขียนจดหมายรักสดแล้วงดรักงดใจหวานอีกแล้ว
ฝากให้รอติดตามอ่าน..
หากคุณรักจริงน่าจะรอไหวนะคะ
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด