1 มกราคม 2549 06:09 น.

รัตนมาลี..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html
บัวกลางบึง
............


เรือลำน้อย..
กำลังค่อยๆพาผมลอยล่อง
ท่องเหนือม่านน้ำนทีทอง
ที่...
ณ.บัดนี้...แดดเช้ากำลังสาดส่องทาบทา
ให้เวิ้งน้ำไกลสุดตาจนจรดขอบฟ้า
แสน..ละมุนหวาน
ด้วย..*ดวงดอกบัวแดง*นับพันนับแสนดอก
ที่..
สายแสงแรกแสนสวย..กำลังพรายพราว
กรายกลางกลีบเกสรบัวสดสล้าง
พร่างไปด้วยกรุ่นกลิ่นหอมอวล
ให้..
จนทั่วทั้ง..*วังบัวบาน*..
พากันพลีพร้อมบานสะพรั่งพรึบ..
ราวกับจะนัดกันไว้
และมา..
ปันพลีให้ดวงใจผมดวงนิดน้อยนี้..แสนมีความสุข


ใน..ท่ามเวิ้งน้ำนับหลายร้อยไร่
ที่เรียกว่า
*ทะเลบัวแดงที่หนองหาน*ภุมภวาปี อุดรธานี
หากมิหารใจ 
คงเพียงให้งามในยามนี้...ที่เพิ่มสุขเสียมากกว่า
ที่..
ทำเอาหยาดน้ำตาปิติ
ภายในดวงใจของผมแทบล้นหลั่ง
เมื่อ..
ได้รับพลัง..หวังหวานกับตระการจิต
ที่..
กำลังหว่านโปรยให้ดวงชีวิตผมต้องนิ่งขึงตะลึงงัน..!
ราว..
*กับภาพฝัน....*
ที่ผมมิเคยคาดว่า
จักได้มาพบพานพ้องพา
ในโลกแห่งความเป็นจริงได้เลย..


หนองหาน...
ที่..
ระหว่าง...เรือแหวกดงหญ้าและกอบัว
แล้วจำต้องลอยลำอย่างช้าช้า ช้าช้า

ให้ผมแทบจะละสายตา
จากภาพ..ทะเลบัว..แสนงามตรงหน้าไม่ได้
กับแสงแดด
ที่แรงร้อนขึ้นเป็นลำดับ
จนผมต้องเพียรใช้ใบบัวมาบังศรีษะ
แทนร่มกันร้อนคลายแดดสาย
ที่..
เริ่มกรายร้อนมาทุกขณะ
หากทว่า..ไฉนเล่า..
หัวใจผมจึงยังเย็นงามในท่ามบึงฝันพลันพร่างนั้น..


ที่นั่น...
มีดอนหลวง..
ซึ่งเป็นเกาะกลางน้ำในหนองหาน
ที่ชาวบ้านเชื่อว่า
*เป็นบริเวณวังหลวงของขอม *
นอกจากนี้..
ยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 
และเคารพนับถือของชุมชน
ในลุ่มน้ำหนองหานมากมาย 
 แล้ว
ไหนที่นั่นยังมีโบสถ์คร่ำตรงกลางละหาร
และ..
มีองค์พระประธานองค์งามให้กราบไหว้
เมื่อเรือได้ล่องร่ายวาดวนมาถึงฝั่งที่นี่
ที่ๆ..
ชาวเรือหาปลาได้หลบร้อนจากแดดกล้ามาพิงพัก
มาพิงพัก 
...............


และในยามนี้..
พาให้ผม..คิดถึง
รัตนมาลี..!
ที่คือ..
ไม้งามในวิมานสรวงแห่งปวงสวรรค์เทวา
และ..จาก
ทุกทั่วแคว้นทุกแดนหล้าแดนดินถิ่นไทยธรรมทอง
ดอกไม้..
ที่..พระพุทธองค์..ทรงนำมาสอนสัจจธรรม
อันแสนล้ำเลอค่า 
มา
น้อมใจให้ซึ้งทราบว่า
มวลมนุษย์เรานี่หนา..ช่างมีชีวิตชีวา
มาผุดผลิมาคลี่บานกันมากมาย
ดั่งคล้ายบัว 
ที่มีทั้งยังหมกมัวอยู่ณ..ใต้โคลนตม


และ..
ที่โผล่พ้นน้ำมาชูช่อสล้าง
รอท้าแสงธรรมแสงทองให้ส่องนำทางใจ
ไสวว่างไปสู่เส้นทางแห่งความสว่าง สะอาด สงบ 
พบพลีพระนิพพาน
อันคือความวาง ว่าง จนจิตแจ่มกระจ่าง
ดั่ง
*บัวบานเหนือโลกย์สิ้นโศกสุข..*กระนั้น


ผม..
จึงแสนคิดถึง..เธอ..คนดีในนาทีนี้
ทันที่สายตาพาสายใจผม
มาพบบัวบานนานาพรรณ
ในบึงฝันสล้าง
ที่กำลังชูช่อดอกพร่างไสว..จนเต็มไปทั้งวังบัว


เธอ..คนดี
ที่เคยกระซิบบอกผมเสมอมาว่า
แสนดายเดียวในดวงใจเป็นยิ่งนักแล้ว
ด้วย..
จำต้องทน
อยู่ในวังวนกิเลสเมืองแห่งมนุษย์เสียมากกว่า
เธอ..
ที่สุดแสนรักธรรมชาติ
หาก..ทว่า..
ผู้คนในเมืองพิลาสพิไล
กลับเพียรทำร้ายจิตใจเธอ
ให้..
ราวละเมอ...เสมอเสมือนหลง
ในแดนดินถิ่นแห้งแล้งราวทะเลทราย
ที่ทั้ง..แล้งไร้ใจแล้งไร้จิตวิญญาณ


เธอ..
ที่เพียรใช้เนื้อดินทุกตารางนิ้ว
ให้มีแมกไม้ไพรให้งามอาศัย
ได้..
ร่มเงาเหมือนท่ามอยู่ในพงไพรพฤกษ์
หาก
หัวใจคนที่อาศัยในตึกกลับ
มืดบอดไม่รักธรรมชาติ
รักเพียงความสะอาดโล่ง..แลแล้ง
ที่ยิ่งพาให้จิตใจแสนแห้ง..ร้อนทุรนทนทุกข์ตาม


เธอ......
จึงเบื่อหน่ายโลกมายานี้..
ที่..
นับวัน
จักเหลือดวงใจคนรักพันธุ์ไพรน้อยเต็มทีเต็มทน
โลกที่..
ยังคงมีคนทำลายธรรมชาติ
โลกที่..
ผู้คนฉลาดคิด..
หากไม่เคยใช้ชีวิต
ยอมแนบเนาสนิทกับสัจจธรรมจริงแท้..


เธอ..
ที่คงอยากมานั่งเรือน้อยลอยวน
และ
คงอยากมาร้องเพลง
ด้วยน้ำเสียงหวานแสนเศร้า
เพลงอมตะ ให้งามใจ..*บัวตูมบัวบาน*
ให้ผมฟัง
และ..
ปลุกให้บัวทั้งวังให้สะพรั่งระริกระรื่นชื่นฉ่ำตาม..
.....................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1504.html
บัวตูมบัวบาน

ลงเรือน้อยลอยวน
ในสายชลห้วยละหาน
มีทั้งบัวตูมบัวบาน
ดอกใบไหวก้านงามตา
เมื่อลมพัดมาชื่นใจ
ผึ้งตอมหอมบินดมกลิ่นบัว
ซ่อนตัวรำพันฝันใฝ่
เหมือนดนตรีชะโลมกล่อมใจ
ฟังยิ่งฟังไป รุมเร้าฤทัยลำพอง
ปองจะเด็ดบัวบาน
ครวญคิดนานหวั่นเจ้าของ
ใจหมายดึงโน้มโลมรอง
หากบัวไม่มีเจ้าของ
จะชมทั้งสองปทุม
เอื้อมมือหมายดึงเพียงดอกบาน
ก็เกรงสะท้านถึงก้านดอกตูม
แสนเสียดายเหมือนชายหมดภูมิ
จะเด็ดดอกตูม
ยังนึกเสียดายดอกบาน
เรือเร็วไปหน่อยค่อยค่อยทวน
บัวหอมชวนอกสะท้าน
งามทั้งบัวตูมบัวบาน
เทพไททุกแดนพิมาน
ประทานสมดังตั้งใจ
เอื้อมมือหมายดึงดอกตูมก่อน
ดอกบานก็ค้อนแสนงอนไปใย
จะเด็ดดอกบาน
ดอกตูมก็สั่นแกว่งไกว
จะเด็ดดอกไหน
กันหนอบัวตูมบัวบาน
จะเด็ดทีเดียวเสียทั้งคู่
ครวญคิดดูอยู่ไม่นาน
พอดอกตูมแย้มตระการ
ดอกบานก็คงแห้งโหย
กลีบราร่วงโรยน่าชัง
ต้องลาแล้วหนอบัวช่องาม
บาปเคราะห์และกรรมประดัง
แล้วจ้ำเรือน้อยค่อยเข้าฝั่ง
ไม่ยอมกลับหลัง
หมดหวังทั้งตูมทั้งบาน

จะเด็ดทีเดียวเสียทั้งคู่
ครวญคิดดูอยู่ไม่นาน
พอดอกตูมแย้มตระการ
ดอกบานก็คงแห้งโหย
กลีบราร่วงโรยน่าชัง
ต้องลาแล้วหนอบัวช่องาม
บาปเคราะห์และกรรมประดัง
แล้วจ้ำเรือน้อยค่อยเข้าฝั่ง
ไม่ยอมกลับหลัง
หมดหวังทั้งตูมทั้งบาน...
..............




และ...
ราวกับใจเราตรงกัน...
ในนาทีนั้น
ที่ผมแสนคะนึงหา
ในท่ามบึงบัวงามล้นหล้าหลากพรรณสีสัน
กับ..
ดวงชีวีเธอ..
ท่ามม่านเมืองกับม่านน้ำตา
ที่บ่าโหมด้วยความโศกสะเทือนใจ
แห่งดวงใจเธอในวันนี้
ที่..
เธอจำต้องพลีถอดใจ
ตัดใจ..ต้นไม้ใหญ้ไม้ไพรรายรอบวิมานดิน
แทบเหี้ยนสิ้น เพื่อตัดความรำคาญหู 
ให้เหลือเพียงตอไว้ดูต่างหน้า

ไม่ว่าจะจำปีต้นสูงใหญ่
ที่ให้หอมในนวลใจมานานช้า
ฤาว่า..
ต้นมะม่วงที่กำลังให้พวงระย้าย้อย
ด้วย..
คนพาล...พาคิดไปว่า
จะพาให้บ้านเขาอัปมงคล
โอ้คนหนอคน..ใจหนอใจ
กระไรเลย..!


เธอ..
ที่มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้น 
ที่จะฝากฝังฝัน 
หรือ..
เอ่ยรำพึงรำพันทุกฝันร้ายได้
จึงได้โทรมา...
ในขณะที่ผมเองก็คิดถึงเธอพอดี

เธอ..สารภาพว่า..
นาทีนี้..
หากตามผมมาได้ 
จะไม่ยอมกลับไปว่ายเวียน
เสมือน... 
นกหลงฟ้า ปลาผิดน้ำ 
ข้าวผิดนา ควายไร้ค่า
และเธอคนที่ ไร้ใครไร้คนเข้าใจไยดี


เธอ..
บอกอยากสะอื้นร่ำกับอกผมให้ปลอบประโลม
จิตวิญญาณดวงรานระทม
ที่เธอบอกว่า..
ยับเยินจนเกินทนแล้ว
ทั้งๆที่..
เธอเพียรพยายามเมตตาเพื่อนมนุษย์

ใจดวง..ดายเดียว
ที่..ล้ำลึกรู้รักความสงบเงียบงาม
วิถีความเรียบง่าย 
ได้ชิดใกล้ป่าไพรหรือไม่ก็ท้องนาบึงบัว
กับ...
แสงตะเกียงแสงเทียนสลัว
ในยามค่ำ มีเรไรร่ำจิ้งหรีดร้อง 
มี..
ลอมฟางกองฟืน
ให้ตื่นขึ้นมาดูดาวพราวฟ้านับแสนนับพัน..ดวง


นั่นดาวไถ ..
ไหนละ...ดาวแม่ลูกไก่..
และ....
นั่นไงดาวประจำเมือง
แสนสุกใสสว่าง ณ..กลางเดือนแจ่ม
อย่างที่
เธอมักจะแย้มยิ้มพริ้มพรายยามผมเพียรพรรณนา...


เธอ..
ที่อ่อนล้าจนอยากลาเมืองหลวงเมืองลวง
วันละหลายครา
หนีหน้า..
คนต่างพันธุ์ ฝันต่างจิต...ใช้ชีวิตต่างกัน
และ..
ที่สำคัญ..
เธอ...ยังทำยังตัดสินใจไม่ได้ 
คล้าย..ยังคงต้องมีกงกรรมกรงกรรมต้องทำหน้าที่
มีภาระหลายสิ่งให้ต้องรับผิดชอบ
ที่คอยประกอบกันเป็นสายโซ่ร้อยรัดพันธนา


และ...
ทว่าระหว่างเรา ทุกครา
แม้นไม่มองตา...
แค่ได้ยินได้ฟังคำรำพัน
กับทุกทุกข์ฝันร้าย 
หัวใจผมก็รานร้าวราวดวงเดียวกัน
ดวงที่..
สามารถปันพลี ทุกความรู้สึกล้ำลึกดายเดียวนี้
ที่บางครั้งยากยิ่งจะมีใครเข้าใจ


และ...
ที่อยากถอดใจเปิดใจระบายคลายทุกข์
ให้เราได้ปลอบปลุกกันและกัน
ให้ใช้ใจดวงธรรม พลิกฟื้น
เพื่อหยัดยืนฝืนสู้
ในดงโลกย์กับโศกสะเทือนใจนี้
ให้มีเพียงปล่อยวาง..ให้ดวงจิตแจ่มกระจ่าง


จนกว่า
ตะวันแห่งดวงชีวี  จะลาลับดับสิ้น
ทิ้งทุกสิ่งทั้งดีเลวไว้เบื้องหลัง
อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น
ทิ้ง..
ชะตาขวัญ ให้พระพรหมทรงพระเมตตา
ทรงค้นหาทางออกประทานพรให้ดั่งปรารถนา
ซึ่งหวังว่า...
คงไม่ต้องรอตราบจนชั่วฟ้าดิน...สิ้นสลาย.......
..............



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html
บัวกลางบึง..สุนทราภรณ์

อนาถเหลือล้ำ บัวบานเหนือน้ำ 
อยู่ห่าง คน
ลับตาอยู่จน กลางบึง
ได้แต่ชะเง้อ ละเมอ รำพึง
เจ้าอยู่ถึงกลางบึง ปล่อย ให้ผึ้ง เชยชม
แดดส่องผิวน้ำ บัวพลอยหมองคล้ำ
ด้วยแดด เผา
สีเจ้าก็เศร้า ด้วย ลม
ตกดึก น้ำน้อย นอนคอยคนชม
เจ้าต้องคลุกโคลนตมกลีบ ที่บ่ม โรย รา
บัว น้อย ลอยอยู่กลาง บึง
ครั้นคนเอื้อมไม่ถึง มีฝูงผึ้งบินมา
อยากพักพิงบนหิ้งบูชา
เขาไม่ปรารถนา แล้วจะว่าเขาแกล้ง
โธ่ อยู่ไกล หนักหนา
ดั่งซ่อนหลบตา แอบแฝง
หากปล่อยทิ้งไว้พอใจแมลง
สิ้นกลิ่นสีโรยแรง
แล้วคงเหี่ยวแห้ง คา บึง... 
 ...............
  


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4725.html
ตะวันรอนที่หนองหาน

โอ้ละเน้อ โอ โอ โอ โอ้ ละเน้อ
ผู้สาวภูไท ใช่มีแต่ที่เรณู
ได้ฮักแล้วพี่ได้ฮู้ คือสาวภูไทสกลนคร
ครั้นไปเที่ยวงานพระธาตุเชิงชุม
ได้พบบังอร
เหมือนเคยร่วมบุญปางก่อน
ที่สุดขอบฟ้าก็มาพบพาน
แดดอัศดงค่ำลงที่ฝั่งหนองหาร
เฮาสองเคยเที่ยวด้วยกัน
มนต์ฮักสายัญห์สวาทวาบหวาม
สายลมโชยชิ้วทิวสนลิ่ว
โอนสอดเสียงกังวาน
เหมือนเสียงใจเฮาสาบาน
ให้หนองหารได้เป็นสักขี
โอ้ละเน้อ หัวใจดังเหมือนต้องมนต์
ท้าวผาแดงและนางไอ่ดล
ให้เจอน้อง ณ แดนแห่งนี้
วอนจ้าวช่วยคุ้มฮักยั่งยืน
อย่าได้หน่ายหนี
เหมือนนิยายมีอยู่คู่หนองหาร
คนขานกล่าวชม
แดดอ่อนคราใดหัวใจพี่สั่นสะท้าน
คิดถึงเคยฮักผูกพัน
คิดถึงหนองหารที่เคยรื่นรมณ์
ความหลังฝั่งหนอง
ที่เคยประคองนวลน้องแนบชม
หัวใจยังครางระงม
โอ้แม่สาวสกลที่รัก...
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด