22 มกราคม 2549 14:12 น.

เดียวดาย..ริมสายน้ำตามตะวัน..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song45.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2551.html
(นกขมิ้น..เดียวดาย)


ตะวันดวงโต..
สีส้มสุกสวยราวส้มเช้งสีทอง
กำลังค่อยๆลอยดวง
ผ่านดงตึกในราวเมืองที่ชื่อว่า*เมืองทองธานี*


ดวง..
นั่งนิ่งๆอิงต้นมะพร้าว...
ที่..
ปลูกขนานรายรอบบึงกว้างมิร้างแรมรัก
ด้วยมี..
ทั้งนักวิ่ง นักปั่นจักรยาน 
นักเล่นเครื่องร่อน เครื่องบินเล็ก
เด็กๆ..
มาขี่จักรยานสีชมพูหวานสวย 
หนุ่มสาว..
ที่ขวนกันมาปรับความเข้าใจ
ฤาไม่ก็มารักรับอารมณ์สุนทรีย์ 
และ..
มีบางแม่พ่อที่มาปูเสื่อนั่งดินเน่อร์
ในท่ามแสงตะวันอันแสนงามเฉิดฉาย
พรรณรายพร่างพรม
ห่มให้หอมงามใจ..
ในท่ามตะวันดวงสีไพล ยามโพล้เพล้


นักตกเบ็ดตกปลา 
พากันมาหาเวลาคลายเครียด
หาก..
เหตุใดไฉนเล่า..จึงมาเบียดเบียนสัตว์ผู้ยาก

ดวง..
จึงแสนอเนจอนาถใจ จนอยากเข้าไปถาม
หากมิกลัวว่าศรีษะอันแสนงามจะถูกตีด้วย
ไม้คันเบ็ดเสียก่อน..


ว่า...
ขอมีบึงว่างบึงกว้าง..ให้ปลาเขาได้อยู่สุขสำราญ
ว่ายวนด้วยความเบิกบาน
จะขอไว้สักที่จะได้ไหม...ด้วยดวงใจกรุณาปราณี
เพราะ..
ดวงเล็งที่บึงนี้เอาไว้ว่า..
จะหาปลามาปล่อยไว้ทุกเดือน
แต่..
หากตราบใด..ยังไม่มีป้ายเตือน*ห้ามจับสัตว์น้ำ*
ดวงคงลังเล ว่า...จะ
พาปลา*หนีจระเข้มาพบเสือในร่างคน*ฤาไม่ละหนอละนี่
คง..
ต้องระงับ*โปรเจคมหากรุณา*นี้ก่อนจะดีกว่า..


หลังจากที่
ดวงวิ่งเหยาะๆออกกำลังกายมาหลายกิโลเมตร
จึงพาร่างมานั่งนิ่งๆอย่างอ้างว้างใจ
ทิ้งใจทอดตาดู..สายน้ำแสนสงบงามราวบึงทอง
กับ...
พรายแสงส่องสะท้อนจากดวงตะวัน
อันแสนน่าสนิทเสน่หา
ในยามสายัณห์...ตะวันลาตะวันรอน..
อ่อนแสงสวยเพียงลำพัง


ดวง..แหงยเงยหน้า
ดูเครื่องบินเล็ก..ที่ทำด้วยไฟมน้ำหนักเบา
หากมี..
ผู้บังคับด้วยเครื่องมือกำกับ
ให้ร่อนถลาพาโฉบขึ้นลงเหนือน้ำอย่างชำนิชำนาญ
ราวกับ..
กัปตันสายการบินแห่งชาติไหนสักชาติก็มิปาน...


ดวง..
เลยได้สัมภาษณ์คนเล่นด้วยความอยากรู้
และ..เพราะ...
กลัวว่า..
หากเป็นเครื่องมีน้ำหนักมาก
เกิดคันบังคับเสียไม่สามารถคอนโทรลได้
คงต้องพุ่งเข้าใส่คนสักวันให้กระบาลแยก..


เพราะ...
เวลาบินร่อนนั้น
ใช้ความเร็วราวเครื่องบินทรงอานุภาพจริงๆ
สวี๊ดสว๊าดอยู่เหนือหัว
ให้แสนน่ากลัว..
จะหล่นโคลมลงมาใส่คนไม่รู้วันใดวันหนึ่ง
หาก
ใจชื้นขึ้นมา..และหายโง่ 
เมื่อได้รับทราบว่า..อย่างมากก็แค่ให้น้ำเกลือ
หาก..
ดวงถึงที่ ดวงไม่ดี..
มีอันต้องได้รับอุบัติเหตุ...แบบไม่คาดฝัน


ดวง..นั่งดายเดียวลำพัง..นิ่งนาน
ใจดวงเริ่มรานนิดๆ..เมื่อมองฟ้าที่งามพราว
ราว..
มีมือเทวดามาเล่นแสงแปรสี
ฝากให้มนุษย์ในหล้าโลกนี้
ที่ยังมีอารมณ์ชื่นชมธรรมชาติได้รับความพิลาสพิไล
มาประดับดวงใจ
ให้...
ใสงามฤาเศร้างาม ก็ตามแต่ใจแต่ใคร...คิด


สำหรับดวง..
ผู้หญิงที่เกิดมามีชีวิต..
รัก*ดวงตะวันลา ..*
จะแสนเหว่ว้า..หากแสนสุขสงบใจ
ไปกับวิถีธรรมที่แลเห็นว่า..
แสนเที่ยงแท้แน่นอนที่เห็นทุกวี่วัน
ราว
มาสอนสัจจะใจว่า....ไม่วันใดวันหนึ่ง
*ใจดวงซึ้งดวงเศร้าดวงช่างหนาวเหน็บในนึกนัก*
จักลับลาไปตามตะวัน..ดับไปตามดวงตะวัน..


และ..กับ
ทุกข์ผู้คน..
ที่ยังจักเวียนว่ายวนอลหม่านอลวน
เพียรหาสุขภายนอกมาเติมเต็ม..
ไร้จิตวิญญาณ
ที่..
จะเห็นงามในท่ามธรรม
แห่งความสมถะพอดีพอเพียง
ที่เราอาจจะเลี่ยงหลบมาพบได้
หาก..
ใจรู้ไขว่คว้า
หามาประดับจิต
 ใช่....!ใช้ชีวิตตามๆกันไปในกระแส
ที่พอคิดได้แล้วก็สายเกิน..


วันนี้...
ที่นี่ ที่มีมหกรรม..กรรม มิเว้นว่าง
ช่างหาเรื่องมาประชุม
ให้..
*ดอกทุนนิยม*ในคราบการขายตรง*
ที่พุ่งตรงเฉกเช่นกัน
มาทำลายวัฒนธรรมไทยทุกครัวเรือนไทย
ให้ใช้ชีวิตห่างไกลจากความพอดีพอเพียง
เลี่ยง..
จากสังคมศิวิไลซ์ ที่พือกระโหมโน้มน้าว
ให้ใช้ของดีมีราคา 
แม้นมาตร..
จะใช้จิตวิทยาจะหาเหตุมาอ้างต่างๆนาๆ
ว่า..*ดีกว่าถูกกว่า *ใช้ได้นานกว่า
หากไม่เหมาะกับสถานการณ์
*ความเป็นอยู่ของคนไทย*ที่จนยาก
ยังลำบากลำบนมากมายไปทั่วหล้า
ทั่วฟ้าเมืองไทย..


ที่แม้นกระทั่ง
*พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว *
ท่านยังทรงเน้นย้ำด้วยห่วงใยว่า..
ให้พสกนิกรไทยได้ใช้ชีวิตสมถะ
 และ
ด้วยน้ำพระทัยมากเมตตา
มหากรุณาธิคุณ 
ยังได้..
ทรงเพียรสอนวิธีการเกษตรกรรม
ตาม*ทฤษฏีใหม่*ให้กับทุกดวงใจ
ที่ยากไร้ได้มีที่ดินทำกิน
มิสิ้นหนทางมิอดตาย 
มิต้องมาเป็นทาสนายทุนเพื่อสนองสบาย
พาร่างไปกลางกระแสทะเลวัฏสังสาร


ที่..
กำลังพร่างพรมห่มเนื้อใจมวลผองชน
ให้หลงวนมิผุดผลิ  ตกในบึงบ่วงกิเลสนี้
ที่มากมีความอยากมากอยากได้วัตถุ
มาเสนอสนอง...
จนมอง..
ไม่เห็นแก่นกระพี้อันแท้จริงของชีวีชีวิต
ว่าจักลิขิตเลือกไปในทิศทางใด
มิให้เหนื่อยยากจนสายตัวแทบขาด
เพื่อกลับมาพบว่า...
สุขใดเกินความสว่างสงบสมถะเรียบง่าย
ในการใช้ชีวีเป็นไม่มี...


และ..
กับการเกิดมากับชีวิตนี้ 
ที่ไม่ถึงร้อยปี...
ช่างแสนมีลมหายใจอันแสนสั้นนัก
และ..
เราทุกคนจักพลีพาอะไรไปได้บ้าง
นอก..
เสียจากเพียรสร้างจิตวิญญาณ
*ดวงงามดั่งอัญมณี*


ใช่..!..สะสมหนี้ภายนอก
เพื่อหลอกโลก ลวงตนให้คนยอมรับ
ติดกับ...ระบบทุนนิยม 
จน..
พลอยพาสังคมแทบล่มสลาย
จน..คล้ายกับ..
กำลังพากันเดินไปเบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัยพ์ในดินสิ้นในน้ำ 
รวมทั้งอวลอากาศ 
ที่..
พากันจับจองลมขายให้ผ่านเครือข่ายต่างๆนาๆ


ดวง..กำลังดายเดียว
ที่เห็นภาพผู้คนนับหมื่นๆ
กำลังถูกกลืนหาย...
พ่ายไปกับระบบนายทุนต่างชาติ
ที่..
แสนจะฉลาด...มาวาดสวรรค์วิมานใช้จิตวิทยาการขาย
ร่ายมนต์ให้คนหลงเพ้อละเมอตาม
และ..
ในท่ามกระแสบ้านเมืองที่สับสน
ที่ผู้คนกำลังรอฟองสบู่แตก 
และเผยความจนยากมากมี
เพราะ..
ใช้วิถีเกินตัวเกินพอดี...


ดวง..
จึงเศร้าสลัวในดวงใจ
ไปกับ..
ตะวันดวงสีไพล...ที่กำลังลาลับฟ้า


ดวงคิดถึงใครบางคนจับใจ 
ในแดนดิน*ฟ้าจรดทราย*
ที่..
อุตส่าห์เพียรไปใช้ชีวิตวิปโยคแสนโศกใจแสนไกลบ้าน
เพียงเพื่อ ..
หาเงินเข้าบ้าน เข้าประเทศ 
แม้นจะมีสักเพียงเศษเสี้ยวเดียว
ของคนไทยในต่างแดน
 

ที่..
ยอมไปเผชิญความแรมรอนอย่างนกพเนจร 
แสนอดทนหนักเอาเบาสู้..
รวมทั้ง..
ทุกหมู่คนไทย..*เลือดนักสู้จากแดนดินถิ่นที่ราบสูง*
ที่เราเรียกว่า
*แรงงานไทย*ในทุกถิ่นที่ ที่พากันหนีแล้ง
ไปแสวงหาโชค
เพื่อ..
นำมาโบกไล่...ความจน 
ขนเงินงามกลับมาให้บ้านเมือง...
เพราะ..
เกิดมามิใช่คนรวย ที่เรืองรุ่ง
พุ่งขนเงินไปใช้เมืองนอก...พอกตัวให้งาม 


หากทว่า..
มาขายน้ำเหล้า น้ำเมา น้ำกาม 
นำกิเลสไร้งามใส่ทุกข์ให้ผู้คน
จนละเมอเพ้อหลง ไร้สติ
จนบัดนี้..
ที่รัฐบาลเพิ่งลืมตาตื่น..หันมาห้ามออกอากาศ
มิให้...ประกาศโฆษณาเชิญชวน
มวลเด็กหนุ่มสาว..
ให้..
ก้าวหลงทาง หลุมพราง
ไปติดกับ เสพติด จนใช้ชีวิตไร้สติปัญญา
พาลงเหวห้วง
บ่วงแห่งความผิดพลาด...อย่างแสนน่าอเนจอนาถใจ


ดวง..
คงมิพิร่ำพิไร รำพันระบายแล้ว
เพราะ..
ใจดวงแผ้วแค่หวังวอน
แค่รจนา...
เพียรถ่ายทอดฝากประทับ
มิให้ทุกคนดี ที่แสนรัก ได้พ่ายแพ้ไปตามกระแสโลกย์
ที่กำลัง..จะฝาก
*นาฏกรรมแสนวิปโยค..*แด่ผืนดิน...
ให้..แสนโศกสะเทือนก่อนสายเกิน...!
....................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3238.html
นกขมิ้น

ค่ำ คืน
ฉันยืนอยู่เดียวดาย
เหลียวมองรอบกาย
มิวายจะหวาดกลัว
มอง นภามืดมัว สลัวเย็นย่ำ
ค่ำคืน เอ๋ย ฮืม
ยามนภาคล้ำไป ใกล้ค่ำ
ยินเสียงร่ำ คำบอก
เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ย
เจ้าดอก ขจร
นก ขมิ้น เหลืองอ่อน
ค่ำแล้ว จะนอน ไหน เอย
เอ๋ย เล่า นก เอย
อก ฉัน ทุกวันเฝ้าอาวรณ์
เหมือนคนพเนจร
ฉันนอนไม่หลับเลย
หนาว พระพายพัดเชย
อกเอ๋ยหนาวสั่น สุดบั่น ทอน
ฮืม
ยามนี้เราหลงทาง กลางค่ำ
ยินเสียงร่ำ คำบอก
เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ย
เจ้าดอก ขจร
ฉันร่อนเร่ พเนจร
ไม่รู้จะนอน ไหน เอย
เอ๋ย โอ้ หัวอก เอย

บ้าน ใด
หรือใครจะเอ็นดู
รับรอง อุ้มชู เลี้ยงดูให้หลับนอน
นก ขมิ้น เหลืองอ่อน
ค่ำไหน นอนนั่น
อกฉัน หมอง ฮืม
ทนระกำช้ำใจ ยามค่ำ
ยินเสียงร่ำ น้ำตก
โอ้หัวอก เอ๋ย
โอ้อก อาวรณ์ ฉันไร้คู่ ร่วมคอน
ต้องฝืน นอน หนาว เอย
เอ๋ย โอ้ หัวอก เอย
เมื่อ มอง
หมายปองก็แลเห็น
หวิวในใจเต้น
เหมือนเป็นเพียงแต่มอง
เหมือน พบรัง จะครอง
แต่หมองเกรงที่
หวั่นจะมีเจ้าของ
ฮืม
ฟังสำเนียงเสียงเพลง
ครวญคร่ำ ใครหนอร่ำ คำบอก
เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ย
เจ้าดอก ขจร
นก ขมิ้น เหลืองอ่อน
ค่ำนี้ จะนอน ไหน เอย
เอ๋ย นอน ที่นี่ เอย... 
 



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2551.html

เดียวดาย

เดียว ดายอาดูร สิ้น สูญแล้วทุกทุกสิ่ง
เธอ มาทอดทิ้ง จากไปแสนไกลสุดไกล
จำ ใจจำทน หม่น หมองเพ้อร้องร่ำไห้
โอ้ ยอดดวงใจ แสน เศร้า โศก ตรม
จำ ใจจำฝืน กล้ำ กลืนชอกช้ำเหลือเอ่ย
เธอ ทำเมินเฉย ห่าง เหินทำเมินไม่มอง
ยาม ใดใจเหงา เฝ้า ดูนวลแสงจันทร์ส่อง
ใจ คอยร่ำร้อง เรียก หา แต่ เธอ
ทอดทิ้ง ทอดทิ้ง ฉัน ไป แสน ไกล
สุด อาลัย ในรัก หัก หาย
ปวดร้าว ปวดร้าว เหลือใจ หมอง ไหม้
หมด เยื่อ ใย มิหวน คืน มา
คอย คอยหา ตั้ง ตาคอยเธอคืนกลับ
เธอ ไปลาลับ จาก ฉันคืนวันผ่านไป
คอย เธอหวน กลับ มาเคียง ชิดใกล้
ไย เป็น ไฉน คอย เก้อ เดียว ดาย

ทอดทิ้ง ทอดทิ้ง ฉัน ไป แสน ไกล
สุด อาลัย ในรัก หัก หาย
ปวดร้าว ปวดร้าว เหลือ ใจ หมอง ไหม้
หมด เยื่อใย มิหวน คืน มา
คอย คอยหา ตั้ง ตาคอยเธอคืนกลับ
เธอ ไปลาลับ จาก ฉันคืนวันผ่านไป
คอย เธอหวน กลับ มาเคียง ชิดใกล้
ไย เป็น ไฉน คอย เก้อ เดียว ดาย
ไย เป็น ไฉน คอย เก้อ เดียว ดาย...


				
21 มกราคม 2549 09:02 น.

ดั่งรอยธารลานบุพเพ..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song45.html
บุพเพสันนิวาส


บุพเพรักพามาให้พานพบ
แล้วก็จบแล้วก็จากฝากศักดิ์ศรี
ดั่งโซ่สร้อยร้อยสวาทฝากภักดี
แล้วก็พลีแล้วก็พร้อมยอมพรากรัก

เหมือนเธอฉันพระพรหมกั้นสวรรค์วาย
จึงเดียวดายไร้พบมิสบพักตร์
ฝากสายใยสายใจเพียงในฝันนะที่รัก
ถึงมั่นภักดิ์หากสายไปในเวลา

ถือเป็นโชคได้รู้จักสมัครหมาย
ก่อนชีพวายวางบ่วงกรรมย้ำห่วงหา
ตัดสายใจเยื่อใยเสน่หากัปป์กาลเวลา
มิเหว่ว้ามิหลงทางเคว้งคว้างใจ

ปรารถนาจุติจิตสถิตงามท่ามโลกทิพย์
ดั่งนิมิตขวัญสวรรค์ไสว
ยอมเดียวดายลำพังสู่ฝั่งใจ
ไม่เป็นไรลมหายใจแสนสั้นวันพรากลา

บุพเพเศร้าหนาวเหน็บในทุกนึก
คือรู้สึกสิ้นไร้ร่างว่างปรารถนา
ไฉนเลยวิบากกรรมย้ำวนมา
ชั่วดินฟ้าหวังโศกสิ้นถวิลภักดิ์

ถึงมีจำไม่มีใจจึงไม่เจ็บ
ถึงหนาวเหน็บเคยชินความสิ้นรัก
มีดายเดียวเปลี่ยวเหงาแทนที่รัก
แทนอ้อมตักอ้อมใจใครบางคน

วันจำพรากจากจบคงไม่นาน
หากตราบกาลฝากทรงจำทุกแห่งหน
หากตราบใดสายนทียังรี่ไหลในสกนธ์
ในกมลตรารอยธารหวานนิรันดร์...
..............



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song45.html
บุพเพสันนิวาส

เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด
บุพเพ สันนิวาส ที่ประสาทความรักภิรมย์
คู่ ใคร คู่ เขา รักยังคอย เฝ้าชม
คอยภิรมย์ เรื่อย มา
ขอบน้ำขวางหน้า ขอบฟ้าขวางกั้น
บุพเพยังสรรค์ประสบ ให้ได้สบ พบรักกันได้
ห่าง กัน แค่ ไหน เขาสูงบัง กั้นไว้
รักยังได้ บู ชา
ความ รัก ศักดิ์ ศรี รักไม่มี พรหมแดน
รักไม่มี ศาสนา
แม้น ใคร บุญ ญา ได้ ครอง กันนา
พรหม ลิขิต พาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึก ที่คึกพิโรธ
ความรักเช่นนั้นให้โทษ
จะไปโกรธ โทษรักไม่ได้
ไม่ ใช่ บุพ เพ สันนิวาส แน่ไซร้
รักจึงได้ แรม รา

ความ รัก ศักดิ์ ศรี รักไม่มี พรหมแดน
รักไม่มี ศาสนา
แม้น ใคร บุญ ญา ได้ ครอง กัน มา
พรหม ลิขิต พาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึก ที่คึกพิโรธ
ความรักเช่นนั้นให้โทษ
จะไปโกรธ โทษรักไม่ได้
ไม่ ใช่ บุพ เพ สันนิวาส แน่ไซร้
รักจึงได้ แรม รา...





				
20 มกราคม 2549 08:29 น.

ชื่นชีวันขวัญชีวี..พี่รักเจ้า..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song392.html
ดอกไม้ใกล้มือ


จันทร์ดวงหวานคลี่แย้มแต้มผืนฟ้า
บทเพลงเนรัญชราพ้อพร่างกลางคืนฝัน
ดอกน้ำค้างพร่างหอมพร้อมนวลจันทร์
เป็นคืนฝันวางว่างร้างแรมรัก

กี่วันเดือนเคลื่อนลับกับเวลา
กี่ห่วงหาคนไกลสู่อ้อมตัก
กี่ทิวาราตรีหนาวเหน็บนัก
กี่คนรักพรากไกลไม่คืนมา

เดียวดายดูจันทร์ฝันเพ้อ
ละเมอถึงกาลหวานเสน่หา
แท้แล้วไร้ใครในเวลา
คือมายาโลกมายาฝันอันแท้จริง

ไม่มีเราว่างเปล่าดายคล้ายชีพสิ้น
ไร้ถวิลไร้ใครทุกสรรพสิ่ง
ไม่มีแล้วใจไม่มีร่างช่างชาชิน
คือสุดสิ้นอาทรอ้อนหาใคร

ถอดใจไปไหนใครเล่ารู้
ลมหายใจอยู่ทำหน้าที่ดั่งธารใส
ให้ความรักให้ความดีพลีน้ำใจ
คือสายใยถักทอโลกลบโศกคลาย

ดวงใจ..
อย่าไหวหวั่นวันขวัญหาย
ลมหายใจที่พรากไปกับเดียวดาย
ดั่งสุดท้ายปลายเทียนมิเวียนภพ

ดับสู่แดนในฝันสวรรค์รอ
แดนสุคติขอแค่นั้นวันชีพจบ
มุ่งทำดีมิยอมพ่ายทุกทุกภพ
นิทราสงบจิตจับไว้ทางสายงาม...
....................


ในนวลราตรี...ที่เดือนเสี้ยวแขวนฟ้า
บทเพลงเนรัญชราหวานแว่วแผ่วมากับฟ้าหนาว
ดารารายวิปโยคราวโศกมิสิ้นกัปป์กาลเวลา
เหนือเวิ้งฟ้าอนันตกาล
ที่..
ผ่านพบมากเรื่องราว
ทั้งทุกข์หนาวเศร้ารักร้าวรอน
อ่อนหวานอ่อนไหว..ในนวลเนื้อใจมนุษย์
ที่..
ดั่งบัว..มิผุดผลิ..มิคลี่แย้มรอ..สายแสงทองแสงธรรม
ยังร่ำพิรี้พิไร..หนาวเหน็บในดวงใจ
มิสิ้นวิบากรักวิบากกรรม...


ริมระเบียงฝัน
การะเวกพลันพร่างร่วงพราว
ราวเฝ้าสอนสัจจะธรรมใจ
ให้..
มากมวลมาลีดั่งกุลสตรีไทย
ได้รู่ค่าวันงามใจที่แสนสวยใสแสนงาม


ราว..
บัวบานบริสุทธิ์
ดั่งดวงดอกไม้พิสุทธิ์ไสวไร้แมลงแกล้งชม
แฝงชม..มาดอมดมรับหวาน
แล้วผลาญพล่าลาจากไป....


ที่ไม่นานช้า
ก็จักพากันปลิดกลีบฉมพรมพื้นพสุธาสิ้นอย่างดายเดียว
มิอาจทานกระแสธรรมชาติฟ้าดิน
ที่..
คือสิ่งที่เที่ยงแท้และแน่นอน
ก่อนกาลได้หวานประดับโลก
ฝากหอมให้...ลบโศก
ได้เอื้อโอบเกื้อฝัน..แด่ผืนดินอันมิสิ้นประโยชน์ไกล..!
............



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song392.html

มวล เหล่าดอกไม้ใกล้มือ
เป็น สื่อ ให้คนเด็ดถือชมเชย
เจ้า อยู่ในที่เปิดเผย
เขา ใคร่ เชย เห็นเจ้าก็เลยเด็ดมา
คน เด็ดก็เพราะมันใกล้
ใคร ใกล้ เด็ดไปได้สมอุรา
บานล่อใจใครจะรู้ ค่า
ต่างปรารถนาจะได้ชม
ทิ้งไว้หมองไหม้เสียเปล่า
ขืนปล่อยเจ้าผึ้งไม่เคล้าก็เฉาด้วยลม
ทิ้งไยให้ตรม เหยื่อผึ้ง เหยื่อลม
ให้คนเขาชมดีกว่า
ดีกว่าจะทิ้งคาต้น
โรย หล่น ผู้คนไม่เห็นราคา
เจ้าใกล้มือเจ้าต้องถือ ว่า
ไม่ใช่ดอกฟ้าที่ห่างไกล

ดีกว่าจะทิ้งคาต้น
โรย หล่น ผู้คนไม่เห็นราคา
เจ้าใกล้มือเจ้าต้องถือ ว่า
ไม่ใช่ดอกฟ้าที่ห่างไกล...

				
19 มกราคม 2549 09:04 น.

สไบบัวสไบบุญ..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html
บัวกลางบึง


สไบบัว..
เดินฝ่าสายหมอกหอม
ที่กำลัง..
ลอยระเรี่ยเคลียทุ่งข้าวในยามเช้าเพื่อไปวัด
เสียงระฆังทำวัตรเช้าดังก้องมา
ในท่ามความสงบสงัดแห่งอรุณรุ่ง

เจดีย์สีทองโผล่พ้นทิวไม้ไสวในแสงสายสีรุ้งงามจรัส
ราวรัศมีทิพย์แผ่พร่างรับพรายแสงตะวันแรก..


สไบบัว..
เดินอย่างช้าช้า ช้าช้า 
และ..
ทุกก้าวย่าง..ซ้ายขวาคือภาวนาสติ
ไปตลอดทาง 
แม้น..
ผัสสะข้างทางจะแสนงามสักปานใด
ก็แค่ตาใจรู้รับประทับงามแล้วปล่อยวาง..ปล่อยวาง


หากทว่า..
ในเส้นทาง
ที่ฟ้าเริ่มกระจ่างสว่างแล้วไปทั่วทั้งท้องนภางค์
สไบบัว..
ได้ยินเสียงหัวเราะ..ที่ราวระฆังแก้ว..บริสุทธิ์ใสพอกัน
จนทำให้ต้องหันไปหาที่มา


และ..
ณ..บึงบัวตรงหน้า พาให้สไบบัว
ต้องหยุดเดินนิ่งงัน
ด้วยด่ำดื่มลึกล้ำในภาพตรงหน้า
ของ..
*เด็กชายหญิง*
ที่กำลังช่วยกันกอบกำบัว..ในท่ามฟ้าหวานใส
ราวผีเสื้อดอกไม้..ได้เริงร่าตามประสาเด็กไกลปืนเที่ยง


สไบบัว..คลี่ยิ้มหวาน
พร้อมกับที่..สองเด็กน้อยหันมาเห็นในทันที
และ..
มีไมตรีที่จะถามต่อว่า
*จะนำดอกบัวไปถวายพระไหมครับ*
เมื่อเห็น..
สไบบัวในผ้าถุงสีไพล
กับในมือมีตะกร้าลายดอกพิกุล
พร้อม..
ขันเงินที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นข้าวหอมมะลิใหม่
ที่มีใบตองปิดทับไว้หากยังให้หอมกระจายจรุง


เธอ..จึงพยักหน้ารับคำ
พร้อมกับ
ได้บัวกำใหญ่ทั้งดอกตูมตั้งเบ่งบานงามตระการ
อยู่ในใบบัวที่มัดห่อหุ้มอุ้มน้ำมิให้หยดหยาด


สไบบัว..ขอบใจและอวยชัยให้พร
พร้อม..
กับเดินพรากลา..
ในคลองตา คลองใจช่างสวยใสแสนหวาน
กับ..
ครรลองงามแห่งวิถีนี้ที่เธอคนดี
คิดว่าช่างแสนพิสุทธิ์ใส
เหนือโลกศิวิไลซ์ที่แสนวายวุ่น


เธอ..รู้ดี..เด็กน้อยทั้งคู่มาจากครอบครัว
แร้นแค้นวัตถุ
หาก..
ชีวิตดูดูแสนพิสุทธิ์ใส
เหมือนผ้าขาวที่ยังไร้สีสันมายาใดมาแต้มแต่ง
เพราะ..
ไกลแหล่งความเจริญแห่งเมืองอันแสนเรืองรุ่ง
ที่มากมายผู้คนที่หมายมุ่งประดับเพียงร่าง
จิตห่างจากธรรม ธรรมชาติ อันคือสัจจะเที่ยงแท้
ที่แน่นอนยิ่งกว่าสิ่งใด..


ที่มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
*พระพุทธองค์*
ยังได้ทรงทิ้งมหาทรัพย์ศฤงคารภายนอก
เพื่อ..
เพียรบอกด้วย*การกระทำ*สอนชาวโลก..
ให้รู้ว่า...
แท้แล้วไซร้ มรดกใดไหนเล่า
จะเทียมเท่า..*มรดกธรรม* อันแสนล้ำเลอค่า
ที่เรานี่หนาจะนำพาติดตัวไปได้


และ..
จะมีกินใช้ไม่รู้วันหมด
ตราบนานแสนนาน 
ตราบอนันตกาลชาติ
ตราบจนกว่า..
จะล่วงรู้เดินตามแสงธรรมแสงทอง
ที่..
ส่องนำสู่บานประตูพระนิพพาน
ที่คือบานประตูแก้วทิพย์นิรมิตอันจักแง้มทอดรอ


และ..
ขอเพียงเพียรมิท้อ
จะสักกี่หมื่นแสนชาติ
จิตดวงพิลาส
ก็อาจจักล่วงพ้นผ่านสู่พรหมโลกสถาน
วิมานทิพย์วิมานทองตามครรลองบุญ
หากรู้หนุนนำน้อม..มิยอมพ่ายเพียร...
..............................



สุขใจในพรหมโลก (Emptiness in the Endless Land) ลำน้ำน่าน

.............
.............
นิรันดร์ใจรุ่งแจ้งอยู่เบื้องหน้า
ไขว่คว้าแดนนิรทุกข์ไพศาล
ปรารถนาอรูปพรหมอยู่ชั่วกาล
อริยญานชั้นใหนสุขใจจริง

จากอากาสานัญจายตนภพ
สงบละเอียดอ่อนไร้รูปสิง
อิ่มเอิบเพียงจิตนิรมิตอิง
มิไหวติงท่ามสว่างพรหมสถาน

เหนือพรหมาณฑ์ปฏิเวธภาวนา
พรหมาเทียมเอกวิเศษวิศาล
เหนือเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
พระนิพพานแย้มประตูอยู่นั่นแล้ว
.........................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html

อนาถเหลือล้ำ บัวบานเหนือน้ำ 
อยู่ห่าง คน
ลับตาอยู่จน กลางบึง
ได้แต่ชะเง้อ ละเมอ รำพึง
เจ้าอยู่ถึงกลางบึง ปล่อย ให้ผึ้ง เชยชม
แดดส่องผิวน้ำ บัวพลอยหมองคล้ำ
ด้วยแดด เผา
สีเจ้าก็เศร้า ด้วย ลม
ตกดึก น้ำน้อย นอนคอยคนชม
เจ้าต้องคลุกโคลนตมกลีบ ที่บ่ม โรย รา
บัว น้อย ลอยอยู่กลาง บึง
ครั้นคนเอื้อมไม่ถึง มีฝูงผึ้งบินมา
อยากพักพิงบนหิ้งบูชา
เขาไม่ปรารถนา แล้วจะว่าเขาแกล้ง
โธ่ อยู่ไกล หนักหนา
ดั่งซ่อนหลบตา แอบแฝง
หากปล่อยทิ้งไว้พอใจแมลง
สิ้นกลิ่นสีโรยแรง
แล้วคงเหี่ยวแห้ง คา บึง...

				
18 มกราคม 2549 08:56 น.

เงาไม้เงาใจในคืนฝันพระจันทร์หวาน..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song11.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song354.html
 เสน่หา..เงาไม้..


ท่าม...
แสงจันทร์ที่กำลัง
สะท้อนกระทบมณีแก้วผลึก..
ที่แขวนไว้เป็นโมบายริมหน้าต่าง
ให้แสงพร่างวะวิบวับ
พร้อมกันกับจับไล้ร่างหนึ่ง
ให้รับซึ้งแสงงามในเงาเงียบอย่างนิ่งงัน


เหนือ..ตอมะม่วง..ที่กำลังผลิใบสีม่วงใส
มีกระถางอมรเบิกฟ้าสีชมพูจรัส
ดอกโตสะพรั่งแขวนไว้รับพลังจันทร์
ให้พลังฝันในคืนหนาวไปพร้อมกัน


เสียงใครบางคน..ขับเสภาบทกวีแสนงาม
ลอยลมเศร้ามาคลอเคล้าริมหู

จันทร์กระจ่างดูราวมีหยดน้ำตา
ดวงดาราราวกำลังวิปโยคร่ำไห้

พรายแสงจันทร์นวล
ชวนให้คิดถึงบทเพลงแสนงามใจในคำนึง



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song354.html
เงาไม้..

แสง จันทร์วันนี้นวล ใครชวนให้น้อง เที่ยว
จะให้ เหลียวไป แห่ง ไหน
ชล ใสดูในน้ำ เงาดำนั้นเงา ใด
อ๋อ ไม้ ริม ฝั่ง ชล
สวยแจ่ม แสง เดือน
หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว
จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล

สวย แจ่ม แสง เดือน
หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว
จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล...



การะเวกริมหมอนนวลกำลังอวลจรุง
มาให้ซึ้งซ่านหวานในดวงใจอย่างที่สุด
และ..
น่าแปลกที่สุด..
ที่*แก้วไร้ฝน*กลับให้..*ดอกฝัน*หอมพร่าง
ในท่ามคืนวันที่แล้งไร้
ราวอยากปลอบประโลม


ไม้น้ำ...คงกำลังระบัดไหวรอสายน้ำค้างในยามดึก
หนาวนึกนอนนับนาน
กับกาลเวลาพานพาฝันผันผ่านเลย....

กี่ปีแล้วละนะ...ที่ราตรียังเดียวดาย
คล้ายเหมือนเดิมหากจริงแล้วกลับเพิ่มเวลา
ราวกับว่า..
นาทีแรกพบกับนาทีจบจาก
ช่างแสนชิดสนิทใกล้กันอย่างยากแยกออก


ผู้คน รอยฝัน น้ำใจ  น้ำคำ
ความรัก ความภักดี 

จะมีใครสักกี่คนนะ..ที่รู้ธำรงดำรงถนอม
ให้ดอกรักจักงอกงามไสวในจิต
สถิตไปตราบชั่วนิจนิรันดร์
ใน..
ชีวิตอันแสนสั้นนิดหนึ่งน้อยนี้
 มิให้..ลอยลับไปกับทิวาวัน
กับความผันแปรไม่แน่นอนในกาลกระแสเวลา
อัน..
แสนเชี่ยวกราก มากด้วยผู้คน
ที่ต่างเวียนวนผจญเผชิญปัญหาเพื่อความมีชีวิตรอด
จน..
มอดสิ้นไร้ไฟฝัน พลังศรัทธารักภักดี


จะมีก็แต่...
ความอยู่รอดปลอดภัยแบบตัวใครตัวคนนั้น
ในสังคมอันวายวุ่นชุลมุนเพียงปากท้อง


เลิกสรรสร้าง
 เลิกพร่างพรมน้ำค้างคำ
เลิกนิรมิตฝันปันพลี
เลิกที่...จะคิดดี คิดให้ อย่างไร้แรงใจ


หาก...
ในมุมหนึ่ง
ในร่มรักเรือนใจเรือนไทยแห่งนี้
ยังคงมีมิ่งมิตรคนดี รักจะลิขิตงานงาม ในเงางาม
ท่าม..
ทิวาหวานราตรีหวัง
ท่าม
โลกที่ยังคงหมุนไป หมุนไป ไม่มีวันสิ้นสุด


และราว..
คลื่นลูกใหม่ทะยอยทอยทอดโอบกอดฝั่ง
อย่างแสนรักใคร่
ดั่ง..*สายน้ำรักนิรันดร์*

มิไร้หวังสิ้นรักภักดิ์พลีผืนทราย ให้ได้ชุ่มฉ่ำเป็นนิรันดร์ตรา..
ตราบจนกว่า โลกนี้จะมลาย...

..............

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song11.html
เสน่หา

ความ รัก เอย
เจ้า ลอยลมมาหรือ ไร
มาดลจิต มาดลใจ เสน่-หา
รัก นี้จริงจากใจหรือเปล่า
หรือ เย้า เราให้เฝ้าร่ำหา
หรือแกล้งเพียง แต่แลตา
ยั่วอุรา ให้หลง ลำพอง
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ
สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง
รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง
รักแรกช้ำ น้ำตานอง
ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ
สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง
รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง
รักแรกช้ำ น้ำตานอง
ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย... 
 
  


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด