13 พฤษภาคม 2552 17:33 น.

Memory Of The Sea ...!

พุด


ชอบวันที่ฟ้าฉ่ำฝน
แม้นบางคนบอกว่า
ดูเศร้าสลัวมัวหม่น
หมองในครองจิตเสียนี่กระไร

ก็...ต่างจิตต่างใจกัน
ฝันไปกันคนละทิศ
มีสิทธิชอบไปคนละทาง

บ้างก็ว่าฟ้าสวยเศร้า
แบบนี้โรแมนติกดี
ยิ่งมีใครสักคนใน
อ้อมใจในอ้อมกอด
ยามนอนดูยอดไม้ไหวเอนในท่าม
สายฝนพร่างพราย
ณ..ภายใต้กระท่อมหลังคาจาก
ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้
อาจจะเป็นในป่าดงพงพฤกษ์ไพร
ในวิมานเมือง
ในวิมานใจ
ก็คงแสนเอมอิ่มอุ่นใจเสียนี่กระไรแล้ว

.................................

รักวันที่ฟ้าฉ่ำฝน
เมฆมัวหม่นเทาทึมทุกถิ่นที่
ราวภาพวาดสอนโศกโลกชีวี
ดั่งฤดูดลฤดีมีบทเรียน

เคยนั่งบนเนินผาวันฟ้าเศร้า
ใจรานร้าวดายเดียวรักแปรเปลี่ยน
มุดดำน้ำหนีทุกข์ว่ายวนเวียน
เจ็บจนเจียนใจสลายคล้ายธุลี

ริมชายหาดร้างไร้เพียงลำพัง
ฝากและฝังความภักดิ์สิ้นศักดิ์ศรี
รินน้ำตาสังเวยท้องนที
นับจากนี้ฝากชีวีไว้ใต้ร่มบุญ

ในเรือน้อยเด็กชาวเลร้องเพลงปลอบ
พลีใจมอบให้ขวัญลืมวันวุ่น
น้ำตาขวัญปนไปกับสายพิรุณ
หยาดน้ำใจละมุนได้ล้างใจ....
.....................


น้ำจรดฟ้า.....


ใจของดาหลา กำลังระบมด้วยพิษรัก
ทะเลตรงหน้าที่เคยมองว่าแสนงาม 
มาวันนี้..ไม่งามเหมือนดั่งเก่า...

ดาหลาเช่าเรือลำเล็กๆ ออกมา กลางทะเลกว้าง
มีเด็กชายผิวคล้ำ เกรียมแดด เป็นนายท้ายเรือ
ดาหลาไว้ใจประสบการณ์ทางทะเล
ของเด็กชายคนนี้ที่มีมากกว่าอายุจริง 

ดาหลานุ่งโสร่งผ้าปาเต๊ะ แบบสาวชาวเกาะ 
พันทับชุดว่ายน้ำ 

เนื้อตัวดาหลาคล้ำแดด ไม่แพ้กัน 
ดาหลาออกมาท้าทายสายลมร้อน
และ
แสงแดดกล้า..กลางทะเลมาเป็นอาทิตย์แล้ว 
ใจที่ร้าวระบม
ด้วยความรานร้าวใจ
ค่อยๆลดออาการลง..

ผืนน้ำทะเลสีเขียวเข้มราวมรกต....
ตัดกับขอบฟ้าสีน้ำเงินเข้ม....ไร้ขอบเขต... 

ความเวิ้งว้างของโลกสีคราม ..
กับ..ความอ้างว้างทางใจ..
ผสมปนเปกลมกลืนกันไป ภายในใจ 
อันบอบช้ำดวงน้อยของดาหลา..

ความนิ่ง...เงียบ..ของผืนน้ำรายรอบ
ทำให้ใจดวงร้าว 
ค่อยๆสงบลง..อย่างช้าๆ....

โลกตรงหน้า
เหมือนมีดาหลาเพียงผู้เดียว

ดาหลามาที่เกาะเล็กๆแห่งนี้..มีเต้นท์ 
และ
เสบียงมาพร้อมที่จะค้างคืน.
ทอดสมอเรือแล้ว.
เด็กชายตัวน้อยจะเป็นผู้ช่วยทำทุกอย่าง
กางเต้นท์... 
และ
เตรียมฟืนไว้สำหรับก่อกองไฟในยามค่ำคืน
ที่กำลังจะมาเยือน..

ดาหลาเดินย่ำเท้าไปเรื่อยๆ
ตามริมหาดทรายขาวยาวเหยียด

รอยเท้าบนผืนทรายที่ดาหลา เดินโดยลำพังนั้น...
จะค่อยๆถูกน้ำทะเลซัดสาดหายไป...หายไป 
ทุกอย่างดูเหมือนไร้ร่องรอย 

ธรรมชาติกำลังสอนใจดาหลา ....
บำบัดเยียวยา
ให้ใจดวงงามพลิกฟื้นตื่นขึ้นมายอมรับ 
ความจริงของชีวิต อันแสนสับสนนี้.

คืนวันเดียวดายที่เกาะร้าง..
ค่อยๆลบความระทมขมขื่น
ให้ใจจางหายจากบอบช้ำ.
เสมือนคลื่นที่ลบรอยเท้าบนผืนทราย....

ดาหลาเป็นลูกทะเล
เกิดมาก็เห็นทะเลงามตรงหน้า.....
และ
ไม่ว่ายามเศร้า....หรือสุข 
ใจก็ร่ำร้องหาทะเล 

บางเวลาเมื่อดาหลา มีความรัก..
ทะเลก็เป็นฉากรักอันงดงามตราตรึงใจ
ดาหลาเคยใช้ทะเลเป็นพยานรัก
กับคนที่ดาหลารักปานชีวิต 
ท่ามกลางแสงจันทร์โลมไล้ 

ทะเลต้องจันทรานั้นงามสุดจะบรรยาย
รัศมีจันทร์ส่องกระทบผืนน้ำ..
ราวกับทาทาบด้วย เกล็ดเพชร 
แสงเงาเลื่อมพรายพราว..วิบวับ..วิบวับ
งามจนน่าไหลหลง...
หนาวน้ำทะเล... กลับอุ่น 
เมื่อมีอ้อมกอดคนที่รัก
ตระกองกอดใต้ฟองคลื่น...เล้าโลม.. 
ทั้งใจ..กาย..นุ่มนวล..อ่อนหวาน.....
ในค่ำคืนแห่งความทรงจำอันงามงดนั้น..
ทะเลช่างแสนงามจับตา ..จับใจ 
จนยากที่จะเลือนลืม 

แม้บางเวลา
ทะเลจะดูน่ากลัว ....ยามมีพายุร้าย.
เหมือนชีวิตดาหลา......
ที่ถูกพายุใจหอบพัดพา
จนใจกระเจิงมาถึงที่เกาะแห่งนี้

ดาหลาบอกให้เด็กนำเรือออกกลางทะเล
เพื่อดำน้ำดูฝูงปลา...
โลกสีคราม....สวยสุดใจ......
ฝูงปลามากมายหลายหลากสีแหวกว่าย..
ราวไร้ทุกข์ร้อน....
โลกสีคราม มีมนต์สะกดใจของดาหลาให้..
นิ่ง..เงียบงัน..สงบสุข....ล้ำลึก...

ฝนก่อตัวตั้งเค้า....
สายฝนบางเบาเริ่มพราวพร่าง
เรือลำน้อยค่อยๆฝ่าฟองคลื่น 
บ่ายหัวกลับมายังเกาะที่ดาหลาเตรียมจะค้างคืน.....

ท่ามกลางสายฝนพรำ
ดาหลาหนาวสั่น
ร่างกายที่หนาว
ยังไม่เท่าใจที่สะท้านเยือก 
ด้วยความอ้างว้างสุดใจ 
ท่ามกลางทะเลใจที่แสนระทมเปล่าเปลี่ยว
ร้างราผู้คนดังอยู่ลำพัง 
กับเรือน้อย 
ในทะเลจริงแห่งชีวิตที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้

น้ำตาปนกับสายฝน 
ดาหลาสะอึกสะอื้นร่ำไห้ราวจะขาดใจ
ทำนบน้ำตาพังทลายสิ้น..ในนาทีนั้น
ด้วยใจที่สะเทือนไหวสุดจะทานทน....อีกต่อไป

ท่ามกลางเสียงครวญคร่ำของใจ 
พร้อม สายฝนพรำ..

ดาหลาได้ยินเสียงเพลงจากท้ายเรือ.. 
ดังแว่วมา.....ประโลมใจ.....
*รักก็เกม......ก็เกมอะไรสักอย่าง....
เจ็บช้ำครวญคราง...ไม่นานก็หาย...*
....................
...............................

สายพิรุณใส....ค่อยๆรินไหลผ่านใบหน้า.
ราวแทรกซึมเข้าไปร่ำไห้
ให้กับใจที่แหลกสลายยับ 
ดาหลาแหงนหน้าขึ้น
ปล่อยให้เม็ดฝนกระทบต้องใบหน้า
ทุกๆหยดฝนพราวเตือนใจ ให้ดาหลา....มีสติ 
รู้ยอมรับความจริงของชีวิต...

ใช่แล้ว...รักก็เกม ...ก็เกม..อะไรสักอย่าง..
เจ็บช้ำครวญคราง ไม่นานก็หาย

ธรรมชาติจากสายฝนเย็นฉ่ำ..
กำลังให้บทเรียนสอนใจ
ดาหลาอีกบทหนึ่งของชีวิต
ดาหลาเอามือลูบหน้า...
ลูบไล้ราวกับจะให้ความใสสะอาดของหยาดฝน..
ช่วยชะล้างใจ ให้สดสว่างโดยพลัน....!

ม่านฝนเริ่มสร่างซา.....
พร้อมเปิดม่านตาและม่านใจของดาหลา
ให้สว่างกระจ่างใส ไปพร้อมกัน....

สายฝนในใจของดาหลาค่อยๆ..หยุดรินไหล.....

ดาหลาได้ใจดวงเดิมที่แสนงามกลับคืนมา 
พร้อม
พลังใจที่จะยอมรับความจริงของชีวิต
ว่า......
ชีวิต..มิได้เป็นเช่นดั่งฝัน....เสมอไป...!

..................................
				
12 พฤษภาคม 2552 17:17 น.

ถามหาสวรรค์...วันฝนพรำ.!

พุด


สวรรค์อยู่ไหนในโลกหล้า
เฝ้าค้นหาภายนอกพบหลอกหลง
แท้แล้วไซร้สวรรค์ที่เที่ยงตรง
มองลึกลงที่ใจจะรู้ดี

ขวัญสถิตทอดในอ้อมกอดของขุนเขา
ในร่มเงาพฤกษ์ไพรใบไม้สี
ในสายธารไหลระรินชั่วตาปี
ในสายมหานทีทองอนันตกาล

ในปวงป่าพะยอมหอมดอกโศก
ฝากฝันโลกดั่งจันทรายามแย้มหวาน
เหมือนบัวบึงหนีภู่ผึ้งพร้อมเบ่งบาน
เป็นตำนานชูช่อรอแสงธรรม

สวรรค์อยู่ตรงนี้ที่ในอก
และนรกอยู่ที่ใจหากใครร่ำ
จิตผ่องใสลบลืมลาเรื่องมืดดำ
ให้ฝนพรำล้างกิเลสเทวษวน

ธรรมะธรรมชาติสะอาดสว่าง
ครองใจว่างสร้างสะเบียงบุญกุศล
ลมหายใจแสนสั้นนะชีพชนม์
อย่ามืดมนในเสน่หามนตราลวง

ตามขวัญมาในรอยทางทุกย่างแก้ว
สละแล้วดอกรักให้โรยร่วง
เหนือชีวีมีชีวิตดั่งดาวดวง
ณ แดนสรวงฤาแดนหล้าฝ่าดั้นไป....!
..........................


แสงเทียน.ส่องจิตพร่างสู่ลานสรวง


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6194.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html

คืนนี้...
จันทร์ครึ่งดวงพอกันกับใจดวง..ครึ่งเดียวดายเดียว
ราวเสี้ยวจันทร์แรม

ดวงเดินออกไปดูจันทร์ดวงงาม
ทอดแสงผ่านใบระยิบของต้นก้ามปูและจามจุรีที่สูงใหญ่
ใบงามพร่างกระจ่างท่ามกลางแสงจันทร์ทอทอดลอดโลมไล้
แม้จะหยาดสายหวานเพียงครึ่งเดียวตามเรียวจันทร์แรม

และกับ
ใจดวง ดวงดายเดียวที่เหลือเพียงครึ่งเดียวพอกัน
พลันนอนหลับตาฝันฝันบนเตียงโบราณและฟังเพลงนี้


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song169.html
เพราะขอบฟ้ากว้าง 

ป่านนี้แก้วตา นิจจาคอยพี่
โอ้ป่านฉะนี้ คนดีคงทุกข์โศกตรม
คิดถึงคืนวัน ที่สองเรานั้นรื่นรมย์
ต่างชื่น ต่างชม ภิรมย์รักกันมา
บัดนี้พี่ยัง รักเธอไม่หน่าย
สู้อยู่เดียวดาย ไม่คลายความรักแก้วตา
รสรักยังตรึง ซาบซึ้งแน่นดวงวิญญา
ขอเพียงแก้วตา สัญญาไม่เปลี่ยนใจ
แต่เรานี้ต้องอยู่ห่างกัน ต่างคนต่างฝัน
ต่างคนตื้นตันทรวงใน
เห็นดารา นึกว่าเนตรน้อง
พี่หลงพี่จ้อง มองไป
เห็นเงากิ่งไทร พี่ยังเคลิ้มไป ว่ากานดา
อยู่ฟ้าเดียวกัน พระจันทร์ดวงหนึ่ง
แปลกใจสุดซึ้ง ไยจึงไกลน้องหนักหนา
ฟ้านี้ไกลไป ไม่เหมือนดังใจเสน่หา
อยากใกล้กานดา อยากให้ขอบฟ้า แคบแคบเอย

อยู่ฟ้าเดียวกัน พระจันทร์ดวงหนึ่ง
แปลกใจสุดซึ้ง ไยจึงไกลน้องหนักหนา
ฟ้านี้ไกลไป ไม่เหมือนดังใจเสน่หา
อยากใกล้กานดา อยากให้ขอบฟ้า แคบแคบเอย....
......................


เลยอยากออดอ้อนฝากใจฝากจันทร์
พาตัวเองออกไปฝันพลี
ภายใต้เรียวแสงแห่งจันทร์แรมนี้

ที่ก็ยังหว่านหวาน
ให้ม่านเมฆและสายลมพร่างพัดผ่าน
คำซึ้งๆตรึงใจไปกระซิบฝากหมอน
หวังยามเธอคนดีคนไกลหลับตานอนหนุนให้คะนึงหา


จันทร์เอ๋ยจันทร์งาม 
ช่างทรงพลัง....ให้มนุษย์ฝันไกลได้ฝากใจได้แบ่งปัน
และได้โอบเอื้อฝันให้กับผู้คนบนพสุธา
ได้รับความงามอันแสนหวานเย็นยามราตรี
แทนฤดีที่เร่าร้อนแรงราวแสงตะวันในยามทิวาวัน

ดวงเดินทองน่องช้าช้า...ช้าช้า..
แหงนเงยแลฟ้าและหมู่ดาว
และเฝ้าหวังว่าคนไกลที่ดวงแสนรักเอยแสนรักในกมลนั้น
จะไม่ลืมคำมั่าสัญญาระหว่างเรา..ระหว่างไกล


วันนี้..ดวงรู้สึกสุขสงบมาก
ในยามบ่ายใกล้ตะวันโพล้เพล้
ดวงได้นอนดูกระรอกน้อยค่อยๆป่ายปีนต้นมะม่วง
และเฝ้าเอาใจช่วยยามกระโดดวับ
จับเกาะกิ่งแก้วอย่างคล่องแคล่วว่องไว

ดูใบไม้ยักษ์พลูด่างแล้วหลับตา
ว่าดวงกำลังอยู่ในป่าอัฟริกา..หรือพงไพรที่ไหนสักแห่ง
ที่แสนเงียบสงบงาม..


เพราะ
หันไปทางไหนก็มีแต่...ใบไม้พร่างพรายระยิบตา
รับนวลแสงสีทองส่องให้เกิดประกายพราวพร่าง
ดูนั่นซี..
สไบไพลใบตองอ่อน
กำลังร่ายฟ้อนอ้อนสายแสงงาม
ราวสไบนางฟ้าที่มาลีลาซัดส่ายไหว
ราวสไบแพรไหมใบไม้รอห่มร่าง
ให้นางนวลนางไม้ได้หอมห่มบ่มงาม


และ..
ดวง...ในท่ามกลางกองหนังสือมากมายหลายเล่ม
ที่กองไว้ยังไม่มีเวลาอ่าน
เริ่มค่อยๆพลิกอ่านเล่มแรก
*เมื่อหมอเป็นมะเร็งภาค2

ยุทธศาสตร์สุดท้ายในการต่อสู้กับมะเร็งพิมพ์ครั้งที่สี่แล้ว
ของศาสตราจารย์ นายแพทย์ ม.ร.ว ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จาการศึกษาและทดลอง
โดยใช้ชีวิตของท่านเองเป็นเดิมพัน


และนาทีนี้
ดวงขอกราบคารวะแด่ดวงวิญญาณ
อันแสนงดงามตราบจนนาทีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน
ผุ้สร้างคุโณปการแด่เพื่อนมนุษย์

ผู้ยังว่ายวนในวัฎฎอนิจจังสังขาร
และมิพานพบคำว่าสัจจธรรมแห่งชีวิต
อันหาความเที่ยงแท้แน่นอนหาได้ไม่
ให้ได้ตระหนักรำลึกรู้
ถึงนาทีชีวิตทุกนาทีว่าแสนมีค่า 
อย่าได้ปล่อยวันเวลาให้เปล่าเปลืองประโยชน์
หายใจไปวันวัน 


รอจนกว่าร่างนั้นใกล้สลายลาลับปราณแตกดับ
ถึงคิดทำความดี
เพราะบางทียามนั้นก็สายเกินไป

ท่านเป็นผู้เพียรสร้างกุศลจิตมาตลอดชีวิต
และตราบจนถึงนาทีสุดท้าย
และยามร่างท่านมลายอินทรีย์หายไปจากโลกนี้
ท่านก็ยังฝากคำสอนใจในหนังสือ
เพื่อเป็นอุทาหรณ์ไว้สอนใจ


ด้วยดวงใจคารวะ
และด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปิติใจ
ถึงนวลเนื้อใจของท่านผู้เป็นสุภาพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งผืนดิน
หนึ่งในหกสิบล้านราวฮีโร่ในดวงใจดวง


ดวงเพียงน้อมพลีขออนุญาตินำบางส่วนมาน้อมนำใจ
ถ่ายทอดความปิติใจความงามความดีของปูชนียบุคคล
ผู้กล้าผจญกับโรคร้ายอย่างมีสติ
อย่างกล้าหาญ อย่างมีอารมณ์ขัน
อย่างผู้ถึงพร้อมคำว่าตายก่อนตาย


ให้ความงดงาม..ความดีแห่งชีวิตหนึ่งนี้
ได้เผยแพร่เป็นบทเรียนเป็นดั่งวิทยาทาน
แด่ทุกดวงใจที่ได้อ่านผ่านตานะนาทีนี้
และ
แด่ผู้ป่วยมะเร็งหัวใจ
ที่กัดกร่อนให้น้ำนวลในหัวใจแล้งไร้คล้ายทะเลทรายก็มิปาน
และ
ที่ยังไม่ป่วยให้เข้าใจถึงคำว่าชีวิตยิ่งขึ้น
และ
จะหยิบยกคำนำจากสำนักพิมพ์ที่ท่านได้กล่าวไว้ดังนี้


*ถึงตอนนี้ผมคิดว่า ผมพบสัจธรรมในการรักษามะเร็ง
แล้วละ ผมสนุกมากับการเป็นมะเร็งครั้งนี้
เมื่อก่อนก็สนุกกับการร้องเพลงคาราโอเกะ
สนุกกับการเล่นปิงปองกับหลานๆ สนุกกับการอ่านหนังสือ
แต่การเป็นมะเร็งเป็นความสนุกที่สุดในชีวิต*


*ธันย์ โสภาคย์ *สรุปเอาไว้เช่นนี้ 
หลังการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่

 *ธันย์ โสภาคย์*
เขียนเล่าเส้นทางในการต่อสู้กับมะเร็งตลอดมา
ในนิตยสารชีวจิต 
เรื่องชุดแรกรวมเล่มและตีพิมพ์ไปแล้วในชื่อ
*เมื่อหมอเป็นมะเร็ง*
และต่อด้วย*ยุทธศาสตร์สุดท้ายในการต่อสู้กับมะเร็ง*
ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาคสอง เล่มนี้ที่ดวงนำมาแนะนำ
หลังจากที่พบว่ามะเร็งลุกลามไปที่ตับ


*ธันย์ โสภาคย์* 
ใช้เวลาหลังการผ่าตัดร่วมสองปี
ในการเรียนรู้เรื่องมะเร็ง

 เอาตัวเองเข้าทดลอง
ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนทางเลือก
ทำกงานหนักยิ่ง ทั้งเดินสายบรรยาย 
เขียนหนังสือ รักษาคนไข้


โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง 
และยังใช้เวลาที่เหลือหาความสุขให้ตนเอง
ทั้งเดินทางท่องเที่ยว วิ่งมาราธอน ขี่จักรยานเสือภูเขา ..

เป็นหมอ เป็นอาจารย์ 
ศึกษาและเขียนหนังสือเล่มนี้ให้เป็นคู่มือ
ของคนที่ต่อสู้กับมะเร็ง


อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง สรุปถึง*ธันย์ โสภาคย์* ว่า
*ความเป็นหมอ เป็นครู  ความเป็นนักวิทยาศาสตร์
ความกล้าหาญและความเสียสละของอาจารย์นั้น 
ยิ่งใหญ่เหลือเกินในโลกแคบๆของวงการแพทย์สมัยนี้*


ดั่งที่ดวงจะยกบางประโยค
มาน้อมนำใจให้ทุกดวงใจได้ปันแบ่งนะบัดนี้
จากตอนหนึ่งในหลายสิบตอน

ที่หวังว่าจะก่อเกื้อให้เกิดประโยชน์
ในทางด้านจิตวิญญาณ
มาน้อมนำทางให้สว่างกระจ่างใจ


เป็นบทเรียนสอนใจที่ยิ่งใหญ่
ให้เราทุกดวงใจได้คิดใฝ่ดี
มิยอมก้มหัวให้โชคชะตายอมแพ้พ่ายต่ออุปสรรคใดใด
และ
อย่าได้ผลัดวันประกันพรุ่ง
ที่จะเพียรสร้างนวลเนื้อหอมงามใจ
ทำความดีให้กับผู้อันเป็นที่รัก
และแด่เพื่อนมนุษย์
ก่อนที่จะสายเกิน
จากหนึ่งในหลายๆตอน
ที่น่าอ่านแบบสอดแทรกอารมณ์ขัน


*ฑูตสวรรค์*
จากฝืมือรจนาของนักเขียนผู้วายชนม์
ผู้เพียรพลีจิตอันแสนกระจ่างพร่างพราว
ราวสายแสงเพชร
มาส่องสว่างนำทางใจให้กับเพื่อนมนุษย์
ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

ผลงานงามอันแสนเลอล้ำค่าทางการแพทย์
และจิตวิญญาณผู้ให้ ผู้มิยอมแพ้ ผู้แสนหาญกล้า

อันเปรียบประดุจดั่งอัญมณีใจ
ที่แสนงามแสนยิ่งใหญ่เป็นยิ่งนักแล้ว
ในดวงใจดวงน้อยน้อยดวงนี้
ที่จะขอพลีคารวะ
น้อมนำมาฝากทุกสายตาทุกดวงใจ
นะบัดนี้ค่ะ


*ด้วยความไม่ประมาท 
ฉันสำนึกนึกเสมอว่า
ตนเองอยู่ไม่ไกลจากความตายมากนัก
เสมือนไม้ใกล้ฝั่ง 
สำหรับคนที่มีมะเร็งแฝงอยู่ทั้งในตับและปอดในขณะนี้


ฉันเกิดความคิดทีเล่นทีจริงว่า
น่าจะสำรองอาศรมบนสวรรค์ไว้สักหลังหนึ่งได้แล้ว

ฉันจึงเริ่มติดต่อกับฑูตสวรรค์ทางจิตวิญญาณดู
ไม่รู้ว่าสายการสื่อสารจะว่างบ้างตอนไหน
เพราะเท่าที่ทราบข่าวสารทั่วโลกวันนี้
มีคนตายมากมายเหลือเกิน


ทั้งแผ่นดินไหวที่เมืองจีน ตุรกี กรีซ ไต้หวัน
ทั้งน้ำท่วม พายุเฮอริเคนในอเมริกา
เครื่องบินชนกันกลางอากาศ
เครื่องบินชนคอนโดมีเนียม
และ
เครื่องบินตกด้วยเหตุต่างๆ
กว่าสิบเครื่องในเวลาใกล้เคียงกัน


โรงงานอบลำไยที่สันป่าตองเชียงใหม่
มีสารโพแทสเซี่ยมระเบิด
พาคนตายไปหลายสิบคน

หมอดูหลายท่านทำนายไว้ก่อนแล้วว่า
จะมีอุบัติภัยร้ายๆที่มากับY2K

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสวรรค์จะว่างหรือเปล่าก็ไม่รู้


ต่อไปนี้เป็นการสนทนาโต้ตอบทางโทรศัพท์ทางไกล
ระหว่างเลขาฯของฉันกับเทวฑูต
ผู้เป็นเลขาฯของแดนสุขาวดี  
ตามที่จิตวิญญาณของฉันรับทราบ


*ฮัลโหล ที่นี่ที่ไหนคะ* เลขาฯของฉันถาม
*โยมเอ๋ย ที่นั่นมันก็บ้านเธอนะซี แต่ที่นี่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นะจ๊ะ*
เสียงจากสวรรค์มีกังวานน่าทึ่ง *มีธุระอะไรมิทราบ*
*อ๋อ ดี ชั้นต้องการสำรองอาศรมให้เจ้านายสักหลังหนึ่งนะค้า
*อ้อ แล้วเจ้านายของโยมพร้อมจะมาเมื่อไร 
อาตมาจะได้ส่งจานบินไปรับ


*ก็คงเร็วๆนี้แหละค้า เพราะที่กรุงเทพฯ
เขาออกข่าวไปแล้วว่าเจ้านายของดีชั้นได้ตายไปแล้ว 
นายท่านจึงไม่อยากให้พวกนั้นผิดหวัง*
*เร็วๆนี้คงไม่ได้หรอกหนู เอ๊ย โยม..
เพราะอาศรมบนสวรรค์ชั้นนี้เต็มโม้ด  
ต้องอดใจรอโครงการสอง
คงจะเสร็จหลังวิกฤตการณ์วายทูเค*


*หมายความว่าไงหรือคะ ท่านตรีฑูต*

*เฮ้ย เรียกเทวฑูตพอแล้ว ไม่ต้องบอกซีเท่าไรก็ได้..อ๋อ
วายทูเค ก็แปลว่า เวย์ทูครายไงละโยม ไม่เห็นรึ
ชาวโลกตอนนี้ร้องห่มร้องไห้กันจ้าละหวั่น
เศรษฐกิจของสวรรค์ก็พลอยถูกถล่มไปด้วย
ค่าเงินบาทตกไปถึงหนึ่งดอลล่าร์ต่อสี่สิบบาท
 สงสัยการสร้างเจดีย์สวรรค์จะค้างเติ่ง*


*แต่เรามีเงินจะบริจาคให้นะเจ้าคะ
ขอท่านเทวฑูตโปรดพิจารณาด้วย*

*เอ้อ ดีซี ถ้าได้สักห้าล้านก็จะได้อาศรมเดี่ยว
สามห้องนอนสี่ห้องน้ำในหมู่บ้านสวรรค์นิเวศ


*ถ้ามีแค่สองล้านละเจ้าคะ*
*สองล้านก็ได้อาศรมแบบเฮเว่นเฮ้าส์ พออยู่ได้*
*ถ้าล้านเดียวล่ะเจ้าคะ*
*อ๋อ ก็อยู่ห้องแถวไปก่อนละกันนะโยม


*แปลว่าถ้าใครมีไม่ถึงล้าน
ก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์เป็นความจริงหรือเจ้าคะ*
*ไม่จริ๊ง ไม่จริงจ๊ะ สวรรค์เป็นอัตตานะจ๊ะ
ใครทำกรรมดีก็ขึ้นสวรรค์ได้ทั้งนั้น
แต่กรรมดีนี่มันรวมถึงทานด้วยนะโยม
ถ้าไม่ทำทานสวรรค์ก็ยังไม่ว่าง NO VACANCY น่ะพอรู้ใช่ไหมล่ะ


*ถ้าเช่นนั้นเจ้านายของดิฉันยังไม่ยอมตายดีกว่า
ท่านจะสะสมทานบารมีให้มากพอก่อนนะเจ้าค่ะ
พร้อมแล้วจะโทรมาใหม่ สวัสดีค้า*

*เดี่ยวก่อน..*เทวฑูตขอปรับความเข้าใจ
*ไม่ยอมตายเฉยๆคงไม่ได้หรอกโยม 
ไม่ว่าใครจะตายเมื่อไรล้วน
มีประกาศอยู่บนสวรรค์แล้วทั้งสิ้น*


*อ้าวแล้วมีทางแก้ประกาศได้มั้ยละเจ้าคะ*เลขาฯของฉัน
ไม่ลดละความพยายาม
*ได้ แต่ต้องผ่านที่ประชุมของทวยเทพทั้งหลาย
ซึ่งมีพระอินทร์ผู้ทรงฤทธิ์เป็นองค์ประธาน*


*ใครเป็นผู้เสนอญัตติให้เปลี่ยนประกาศได้เจ้าคะ*
*อ๋อ เจ้าทุกข์เองก็ทำได้*เทวฑูตอธิบาย
*มีชาดกเรื่องหนึ่งในพระไตรปิฏก ใช้เป็นบรรทัดฐานได้
เปรียบเสมือนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความไง 
คุ้นเคยดีอยู่แล้วมิใช่รึ


*ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีกษัตริย์สองเมืองจะทำสงครามกัน
ฝ่านหนึ่งไปถามพระฤาษีมีฤทธิ์ ซึ่งติดต่อกับพระอินทร์ได้ 
ได้รับคำแจ้งว่าฝ่ายตนจะชนะ จึงประมาท
 ปล่อยเหล่าทหารสนุกสนานบันเทิง


ส่วนกษัตริย์อีกฝ่ายหนึ่งทราบข่าวทำนายว่าฝ่ายตนจะแพ้
จึงตระเตรียมการให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
ครั้นถึงเวลารบจริง 
ฝ่ายหลังนี้ก็เอาชนะกษัตริย์ฝ่ายที่มัวประมาทได้
พระอินทร์ถูกต่อว่าจึงกล่าวเทวคติออกมา


*ความบากบั่นพากเพียรของคน เทพทั้งหลายก็กีดกันไม่ได้*


*แปลว่าคนที่ถูกกำหนดให้ตาย
แต่ยังมีจิตใจต่อสู้ด้วยความบากบั่นพากเพียร  ยังมีสิทธิ์รอดได้
*เลขาฯ ของฉันขอคำยืนยัน
*แปลว่า สวรรค์ก็เป็นประชาธิปไตย*
*อ๋อ แน่นอน   เทวดาทุกประเภท
ตลอดจนถึงพรหมที่สูงสุด
ล้วนเป็นผู้ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย 
เวียนว่ายในสังสารวัฎเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย


และ
ส่วนใหญ่ก็เป็นปุถุชน 
ยังมีกิเลสคล้ายมนุษย์
แม้จะมีเทพเป็อริยบุคคลบ้าง
ส่วนมากก็เป็นอริยะมาก่อนตั้งแต่ครั้งยังเป็นมนุษย์


แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบโดยเฉลี่ยตามลำดับฐานะ
เทวดาจะเป็นผู้มีคุณธรรมสูงกว่า
 แต่ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
แต่ก็พูดรวมๆไปได้ว่าเป็นระดับสุคติด้วยกัน


*เทพชั้นดาวดึงส์เหนือกว่ามนุษย์ 3 อย่าง
คือมีอายุทิพย์ ผิวพรรณทิพย์ และความสุขทิพย์
*แต่มนุษย์ชาวชมพูทวีป
ก็เหนือกว่าเทวดาชึ้นดาวดึงส์3ด้าน
คือ กล้าหาญกว่า มีสติดีกว่า 
และมีการประพฤติพรหมจรรย์(การปฎิบัติตามอริยมรรค)


*มนุษย์อยากไปเกิดในสวรรค์ 
แต่เทวดาถือว่าการเกิดเป็นมนุษย์
ต่างหากคือสุคติของพวกเขา


*พุทธพจน์มีว่า
 *ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์นี้แล นับว่าเป็น
การไปสู่สุคติของเทพทั้งหลาย*


*ท่านเทวฑูตเจ้าคะ* เลขาฯ พหูสูตรของฉันอยากรู้ต่อ
*แปลว่าเทวดาชอบจุติไปเกิดในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย*
*ใช่แล้ว* ท่านเทวฑูตตอบ

*ว่าแต่โยมยังอยากขึ้นสวรรค์อยู่รึเปล่า*
*ท่านหมายความว่า ชาติก่อน ชาติหน้า
 และนรกสวรรค์มีจริงหรือเจ้าคะ


*ตามพระพุทธศาสนามีหลักฐานในคัมภีร์
ซึ่งแปลความหมายตามอักษรว่ามีจริง*

*แต่การพิสูจน์เท่านั้นยังไม่สิ้นสุด เพราะไม่มีใครรู้จริง
ก็เคยมีคนตายแล้วมาอธิบายที่ไหน 


ช้าๆนานๆเราได้ข่าวว่ามีคนระลึกชาติได้
มีเค้าเงื่อนให้คิดว่าจริง แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้นะโยม*

*ถ้าเช่นนั้น 
พระพุทธศาสนาสอนมนุษย์ว่าควรปฎิบัติอย่างไรคะ
ให้เชื่อหรือไม่เชื่อ*
*พุทธศาสนาไม่แนะนำให้มนุษย์ครุ่นคิดว่าตายแล้วไปไหน
ถือว่ายังเป็นอวิชชาเป็นเรื่องไกลตัว 


ไม่มีคำเฉลยแบบตรงไปตรงมา
พุทธศาสนาสอนให้มนุษย์สนใจการปฎิบัติ
ต่อชีวิตปัจจุบันเอาไว้ให้จงดีเท่านั้นเป็นพอ
กรรมดีทั้งหลายทั้งปวงจะเสริมบุญบารมี
ให้ผู้ปฏิบัติดีแล้วเดินทางไปสู่สุคติได้แน่นอน
.........................

เมื่อฉันได้ทราบความดังนั้นแล้ว
รู้สึกว่ากรรมทั้งหลายที่ฉันทำมา
ก็มีทั้งกรรมดีกรรมชั่ว หรือกรรมไม่สู้ดีนักอยู่มาก
อยากทราบต่อไปว่า 
จะสามารถลบล้างกรรมชั่วโดยการไถ่บาปได้หรือไม่
หรืออีกนัยหนึ่ง กรรมดีจะหักกลบลบหนี้กรรมชั่วได้หรือไม่


ฉันปรึกษาท่านผู้รู้เรื่องนี้ดีแล้ว
พอสรุปได้ความว่า
*กรรมชั่วของแต่ละคนไม่มีทางไถ่บาปได้โดยตรง
มีแต่ทำให้เจือจางลงได้ 
โดยหมั่นกระทำแต่กรรมดีในช่วงชีวิตที่เหลือ


พระท่านอธิบายว่า
กรณี้เปรียบเสมือนน้ำหนึ่งถังมีสีแดงของกรรมชั่ว
มองเห็นน้ำสีแดงชัดเจนอยู่ 
ไม่สามารถสกัดเอาสีที่เจือปนอยู่ออกได้

แต่ถ้าเราหมั่นเติมน้ำบริสุทธิ์ลงไปในถังนั้น
จะพบว่าสีแดงของน้ำจะค่อยๆจางไปๆ
จนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ทั้งที่สีแดงก็ยังคงอยู่ในน้ำนั้นปริมาณเท่าเดิม
หาได้ลดลงหรือหายไปไม่ 


ฉันใดก็ดี
หากมนุษย์ผู้มีกรรมชั่วร้ายมาก่อน เช่น องคุลีมาร
ผู้เคยฆ่าคนเป็นว่าเล่น
ยังสมารถกลับเนื้อกลับตัว
ประกอบกรรมดีจนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้
แต่เมื่อเป็นอริยะแล้ว หากยังฝืนประพฤตินอกลู่นอกรอย
อยู่อย่างพระเทวทัต ก็มีสิทธิ์ถูกถอดถอนยศศักดิ์
และถูกลงโทษให้าสมถูกธรณีสูบได้อยู่......
.............................................
..........................................


ดวงจึงขอจบบทแนะนำหนังสือแสนดีมีค่าเล่มนี้
ที่สอนให้เราทุกดวงใจได้มรณานุสติ
หันมาคิดใฝ่เพียรสร้างแต่กรรมดีกุศลจิต 
ให้มีเมตตาจิตคิดอภัยแบ่งปัน
โอบเอื้อน้ำใจอันแสนใสพิสุทธิ์
เพื่อช่วยกันเป็นรวมเป็นพลังหยุดโลกร้อน..ให้ผ่อนเย็นสุขสงบ..


หวังทุกดวงใจคงได้อะไรไม่มากก็น้อยจากน้ำใจของดวง
ที่ปรารถนาดีและห่วงใยที่ทุ่มเทใจถ่ายทอดนำมามอบให้
หากอยากอ่านรายละเอียดก็หาซื้อได้นะคะ
และ
ด้วยจิตคารวะขอกุศลผลบุญนี้ได้ผ่านไปยังท่านผู้เขียน
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ม.ร.ว ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
ซึ่งนะบัดนี้ท่านคงไปเสวยทิพยสุขในสวรรค์อันแสนสุคติเย็นแล้วค่ะ
.................................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6194.html
แสงเทียน   
เพลงพระราชนิพนธ์ 

จุดเทียนบวงสรวง ปวงเทพเจ้า
สวดมนต์ค่ำเช้า ถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอ ล้วนรอความตายทุกคน
หลีกไปไม่พ้น ทุกข์ทนอาทรร้อนใจ
ต่างคนเกิดแล้ว ตายไป
ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยง เสี่ยงบุญกรรม
ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน
เชิญปวงเทวดา ข้าไหว้วอน
ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน
แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน

เปรียบเทียนสิ้นแสง ยามแรงลมเป่า
ชีพดับอับเฉา เหมือนเงาไร้ดวงเทียน
จุดเทียนถวาย หมายบนบูชาร้องเรียน
โรคภัยเบียดเบียน แสงเทียนทานลมพัดโบย
โรครุมเร่าร้อน แรงโรย
หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ
ทำบุญทำทานกันไว้เถิด เกิดเป็นคน
ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่
เคยทำบุญทำคุณ ปางก่อนใด
ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
แสงเทียนบูชาจะดับพลัน
แสงเทียนบูชาดับลับไป...
...............................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song101.html

รักกันวันนี้ดีกว่า
เผื่อว่าพรุ่งนี้มีอันเป็นไป
แม้เธอและฉันนั้นต้องพลันสิ้นใจ
ฉันจะหวังใครให้เป็นที่รักยิ่ง

รักกันวันนี้ดีกว่า
เผื่อว่าพรุ่งนี้มีใครมาชิง
ฉันอาจพลาดแพ้เหลือแก้คืนทุกสิ่ง
แล้วจะหมายอิงแอบอ้อนวอนรักใคร

พรุ่งนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
แปรผันยอกย้อน ลวงหลอนเปลี่ยนใจ
เผื่อว่าพรุ่งนี้โลกแตกสลายไป
วันนี้เล่าใครจะอยู่คู่ฉัน

รักกันวันนี้ดีกว่า
เผื่อว่าพรุ่งนี้จำใจไกลกัน
ฉันอาจสิ้นหวัง เหมือนดังสิ้นชีวัน
เหลือแต่เพ้อฝัน สุดกลั้นใจหมองตรม 
..............................



รักกันวันนี้ดีกว่า ..พุดพัดชา

ดวงเคยไปส่ง ดวงใจมากมายหลายดวง
ที่ดวงแสนรักเอยแสนรักในกมล
แต่..จำต้องพลัดพรากจากลา...
หลายสถานที่หลายสถานีชีวิต
ที่ฟ้าลิขิตให้เราต้องพบพรากจากลา..เป็นธรรมดา ธรรมดา โลก


บางครั้งก็ที่สถานีรถไฟ 
บางทีก็ไปถึงสนามบิน ...

ก่อนพรากไกล..ดวงจะกอดลาทุกดวงใจ...
จูบแก้มซ้าย..ขวา....
และกระซิบอวยพร ให้เดินทางปลอดภัย..
จนคนที่จากไปบอกไม่ต้องกอดแน่นมากก็ได้..
ไม่ได้ไปนานหลายปี เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว........
.

ดวงเลยบอกว่า..ไม่ได้สิ...
มันเป็นสิ่งแสนดีที่อยากมอบให้เธอ
เป็นสิ่งที่เสนอให้มา...

เพื่อแสดงว่าเรารู้สึกอาวรณ์อาลัย
รักและรอ ขอครบสูตรหน่อย.....
จริงมั้ยคะ..ขาดก็แต่พวงมาลัยคล้องมือ 
ที่ดวงมักจะถือเป็นประเพณีที่ชอบนำไปคล้องใจผู้มาเยือน.


แต่สำหรับบางคนแค่ใช้ใจคล้องใจ..ก็พอ
ไม่จำเป็นต้องลงทุนพ้อรอลาด้วยดอกไม้
ซึ่งมินานจะพานลาจะพาเหี่ยวเฉา

ดวงเป็นคน..ละเอียดอ่อน..กับทุกสิ่ง...
วัยวันสอนบทเรียนให้ดวงรู้ว่า.โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน.
กับทุกเวลาของชีวิตนี้ที่แสนสั้น.....ยิ่งนัก......
ความทุกข์..ความสุข..ที่ผ่านเข้ามาทายทัก สอนให้ดวง 
ใช้เวลาของชีวิตอย่างไม่ประมาท.....
และพยายามใช้อย่างมีคุณค่า...ต่อทุกคนที่ดวงรักเท่าที่ใจจะทำได้............


คุณๆคงไม่ทราบว่า ดวงเคยสูญเสีย..
ครอบครัวของคนที่ดวงรัก..ผูกพันยิ่ง..ราวน้องสาว.......
พร้อมกันทั้งสามคน พ่อ..แม่..ลูก......
เพราะเที่ยวบินที่ตกที่สุราษฎร์ธานี..
ในค่ำคืนหนึ่ง ที่ฝนตกราวฟ้ารั่ว....ร่ำไห้..เมื่อสองปีก่อน
พร้อมกับที่นักร้องยอดนิยม...เจมส์..ผู้โชคดี รอดชีวิตมาได้..........


ทุกครั้งที่ดวงไปสนามบิน..ดวงจึงมักจะเศร้าหมองใจ...
ดวงรอเวลาที่จะเขียนสิ่งดีดี.....
เพื่ออุทิศให้กับน้องสุดที่รัก ที่ลาลับไป ไกลสุดหล้า......
และดวงอยากบอกคุณๆว่า...ใจดวง..
ยิ่งแสนเศร้า...เพราะก่อนวันเดินทางลาจาก...
เธอได้โทรมาร่ำลาดวง...ด้วยเสียงหัวเราะ.....
อย่างมีความสุข........


ดวงพยายามเว้าวอนให้เธออยู่ต่อ ราวรู้.และราว.อยากยื้อยุด 
จากกำหนดนัดของฟ้าดิน..........

แต่.....คำที่เธอบอกดวงราวสังหรณ์ย้ำอาลา....
เธอต้องกลับพร้อมครอบครัว.....


ใช่เลย.......
เธอจึง...จากดวงไป...พร้อมทั้งครอบครัวที่อบอุ่น..
แสนรักของเธอจริงๆ..พ่อ..แม่..ลูก........
โดยทิ้งให้ผู้อยู่หลัง..เจ็บปวด ด้วยรัก อาวรณ์ อาลัย 
อย่างยากยิ่งที่จะทำใจ...เนิ่นนาน......


น้องรัก.....ดวงสัญญา...
วันหนึ่งเมื่อใจดวงพร้อม 
ดวงจะเขียนถึงคุณงามความดีราวตำนาน...
ที่เธอฝังฝากไว้ให้กับทุกคน..
ที่บ้านเกิด....บ้านเกาะ...ของเรานะ....น้องรัก....

ระหว่างเรา...กาลเวลา และทุกสิ่ง 
มิอาจพรากจาก ความทรงจำที่แสนดี แสนงาม.........
ตราบจนชั่วฟ้าดินสลายลับ.........................


ดวงเขียนเรื่องนี้ เพราะได้ตระหนักชัดว่า...

โลกนี้ไม่เคยมีอะไรแน่นอน
ให้เราเตรียมพร้อมทางจิตวิญญาณ ไว้เพียงนั้น 
ที่จะฝ่าฟันพาดวงใจอันผ่องแผ้ว
ไปสู่ฝั่งฝัน อันว่าง สว่าง สงบ และจบด้วยความสุขนิรันดร์..
ไม่มีภพมีชาติอีกต่อไป..
แม้..หนทางจะยังแสนไกลเป็นยิ่งนัก..ก็จักอย่าได้ละความเพียร..


และดวงคิดถึงเพลงๆนี้
พร้อมความทรงจำรำลึกที่เจ็บปวด...
.ดวงอยากมอบเพื่อเตือนใจ...
ให้ผู้อ่านที่ดวงรักยิ่ง ทุกทุกท่าน.........
ตระหนักคิด...และรู้ว่า.....

วันนี้....คุณได้ทำสิ่งดีดี...ให้กับคนที่คุณรัก....หรือยัง..........
ถ้ายัง....คุณทำเสียนะคะ....ก่อนที่.....พรุ่งนี้จะสาย......เกินไป........


ด้วยรัก...
จากใจ.....ดวงนี้..จากเนื้อใจดวงนี้..ที่ยากยิ่งที่ใครจะหยั่งถึง
ความรู้สึกมากมายมากมีที่ตราตรึงเงียบงาม สงบ สว่าง
พร่างพรมใจให้ใสสวยในทุกยามด้วยความภาคภูมิเป็นยิ่งนัก..
กับ..การให้..ให้..และให้..
ให้ความรักโลก รักผู้คน... บนผืนดินเดียวนี้
ที่ดั่งเพื่อนพ้องน้องพี่.ร่วมชะตากรรม


และ...
จนกว่าจะถึงวันตะวันลา..
วันที่ฝากร่างอ่อนล้าใจอ่อนแรงให้ผืนพสุธากลบหน้า..

และขอกล่าวคำว่า..ลาก่อนชั่วนิจนิรันดร์...ระหว่างเรา!นะคนดีนะดวงใจ!

				
12 พฤษภาคม 2552 12:28 น.

เสียงกระซิบจาก...สวรรค์...!

พุด


สวรรค์อยู่ตรงนี้ที่ ในหล้า
ที่ซึ่งฟ้าเมตตามอบให้ขวัญ
สอนพึ่งพิงอิงโอบเป็นนิรันดร์
พลีแบ่งปันทะนุถนอมในอ้อมรัก

ดั่งสายธารธาราบุญอันชื่นใส
ให้ดวงใจชุ่มฉ่ำรับวันหนัก
เย็นหยาดสายพรายพรมบ่มเพาะภักดิ์
สอนรู้จักเมตตาปรารถนาดี

คล้องดวงจิตด้วยมาลัยแห่งงามหอม
ร้อยพะยอมมงคลเป็นสร้อยศรี
ฝากประดับให้งามเงียบในฤดี
ขวัญชีวีฝากโลกลบโศกราน

ให้ใบไม้สายลมกระซิบวอน
จากดวงใจอรชรดวงอ่อนหวาน
ระหว่างเราแม้นจำพรากจากชั่วกาล
สถิตสราญในเวิ้งฝันสวรรค์รมณีย์...!

...........................................

				
12 พฤษภาคม 2552 01:05 น.

ดอกปัญญา..ผลิบานมิรานโรย...!

พุด


รักทุกสรรพสิ่งในโลกนี้อย่างรู้รัก
ใช่ทึกทักทุกสิ่งเป็นของฉัน
แค่ผู้ดูรู้เห็นเป็นเช่นนั้น
ผ่านคืนฝันวันชื่นจิตตื่นเตือน

รักดวงดอกไม้ใช่เพราะรัก
จิตภูมิภักดิ์เห็นธรรมเสมอเสมือน
ธรรมชาติธรรมดามิร้างเลือน
เป็นดั่งเพื่อนนิรันดร์มหัศจรรย์ชีวิต

พระพุทธองค์ทรงค้นพบอริยสัจจ์
เครื่องร้อยรัดพันธนาแห่งดวงจิต
หยุดทุกข์ได้เพียรตามรู้ความคิด
อย่ายึดติดมีตัวตนต้องวนซ้ำ

ผ่านภพชาติกี่แสนอสงไขย
มากเพียงไรเวียนว่ายน้ำตาร่ำ
เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะตามเพรงกรรม
ที่ย้อนย้ำทำเราเศร้าหนาวมายา...!



จากความตอนหนึ่งในเรื่องรักรจนา

ที่รักจ๊ะ 

กับสิ่งที่เล่า เกี่ยวกับบ้านเกิด นั้น 
เข้าใจและเห็นใจมาก 
เข้าใจความรู้สึกที่เพียรจะอธิบาย    
คนดีสิ่งที่เห็น ที่พบ 
สิ่งที่เปลี่ยนไปในโลกปัจจุบัน  
มันเป็นไปตามกฎธรรมดาของโลก 
โลกจะต้องเป็นอย่างนี้ 
คนดี คนชั่ว เกิดขึ้นเพราะ กรรม 

ดังนั้น 
เราจึงควรนำสิ่งที่เราเห็นนี้ 
มาสร้างให้เกิดปัญญาต่อจิต 
มาสร้างให้เกิดความเบื่อหน่าย 
คลายยึดในโลก   
ถ้าเราเกิดมาอีก 
เราก็ต้องเจอสภาพอย่างนี้  
มันวนเวียนมาแบบนี้ทุกชาติภพ 
ชาตินี้เราก็เห็นแล้ว ว่า เป็นยังไง  


เราจึงต้องถามตัวเองว่า 
เรายังปรารถนา
ที่จะเกิดมาพบกับสภาพเหล่านี้อีกไหม 
แต่การคิดจะต้องคิด
ด้วย จิตที่ไม่เศร้า หมายถึง 
เมื่อเราคิดพิจารณาอะไรก็ตาม
บนโลกใบนี้ 
ผลของการคิด 
จิตเห็นตามความเป็นจริง 
จิตจะไม่หดหู่  เศร้าหมอง 
จิตจะสว่าง  อิ่ม  
เพราะมองเห็นโทษ 
เห็นความจริง ณ เวลานั้น 

จะต้องคิดจบลงตรงที่  
ปรารถนาพระนิพพานนะจ๊ะ 
คือ สุดท้ายให้น้อมจิตว่า  
ขึ้นชื่อว่า
การเกิดเป็นคน เป็นเทวดา 
เป็นพรหม 
เกิดมาพบกับสิ่งเหล่านี้ 
จะไม่มีกับเราอีก  
เราตั้งใจจะไปนิพพาน 

ชาตินี้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน  
หากข้าพเจ้าตาย  
ขอจิตข้าพเจ้าไปสถิตอยู่
ณ ที่ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้า 
อยู่ด้วยเถิด 

ทุกครั้งเวลาปฏิบัติธรรม
จะต้องน้อมคิดอย่างนี้นะจ๊ะยอดรัก 
ดังนั้นหากสิ่งใดที่เกินวิสัย
ที่เราจะแก้ได้ 
เราต้องวางใจเป็นกลาง 
ในธรรมดาของโลกนั้นจ้ะคนดี 


ถามว่า 
ถ้าคนดีรีบลาพุทธภูมิไป 
คนดีก็หมด  
จริงๆแล้ว  ไม่มีใครดีหมด 
ไม่มีใครชั่วหมด   
คนจะดีจะชั่ว
อยู่ที่ กรรมเข้ามาสนอง  
เมื่อไหร่ที่กรรมชั่ว 
สนอง  ความดีเข้าไม่ถึง  
เขาจะทำความดีไม่ได้เลย 

เมื่อไหร่ ที่กรรมดีเข้าสนอง 
กรรมชั่วจะเข้ามาไม่ได้  
เขาจะทำความชั่วไม่ได้   
ดังนั้น  เราเจอคนไม่ดี 
เห็นคนไม่ดี  คนเหล่านี้ 
คือ คนทีน่าสงสาร  
เพราะอกุศลกรรม 
ทำให้เขาพูดผิด คิดผิด ทำผิด   

ตายไปแล้ว
เขาต้องไปเสวยผลบาปกรรม
ที่เราเห็นบนโลกเป็นแค่เศษกรรม 
กรรมหนักจริงๆ  กรรมชั่ว 
เขาต้องไปเจอหลังจากตาย 

ดังนั้น คนชั่วหรือทำไม่ดี 
จึงเป็นคนที่เราต้องทำจิต
ให้เมตตาต่อเขา 
ไม่ว่าเขาจะทำไม่ดีต่อเรา  
เราอาจไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว 
(คนที่เราไม่รู้จัก ไม่ใช่ญาติ 
ไม่ใช่คนที่สามารถเตือนได้) 
เราก็ทำจิตเมตตา  เขาอยู่ในใจ   

แต่คนที่เราช่วยได้ 
รับฟังเรา  ถ้าเราทำดีที่สุด  
แล้ว  เขาอาจทำตามเรา 
หรืออาจไม่ทำตาม  
เราต้องทำใจวางเฉย  
ทำใจให้สะเทือนใจน้อยที่สุด 
กับพวกเขา 


แต่ละคนมีกรรม  
มีวาระของตัวเอง  
คนดีที่มาเกิดจะต้องมี  
เพราะ  เป็นกฎของสังสารวัฎ 
พระโพธิสัตว์
ที่ปรารถนาจะขนสัตว์ มีเยอะมาก 
แต่ละองค์ก็จะมี
กลุ่มของตนที่จะต้องโปรด 
เราจะ ไปก้าวก่ายกันไม่ได้ 
ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน 

คนดีอย่าห่วงอะไรเลยนะ  
เราไม่สามารถจะไปแก้กฎของกรรม 
ในโลกนี้ได้  
และ
ไม่สามารถทำให้ใครเป็นได้ดั่งใจเรา 
ดังนั้น ชาตินี้เราทำดีที่สุด
เท่าที่เราทำได้ก็ชื่อว่า 
ไม่เสียชาติเกิดแล้วจริงไหมจ๊ะ 
..................


				
11 พฤษภาคม 2552 22:48 น.

สุดทางรัก...!

พุด


รักของเรางดงามทุกยามนึก
ในรู้สึกเงียบงามนิยามหมาย
ใช่รักร้อนร้อนรักทุรนทุราย
เพียงสุดท้ายให้เธอปิดเปลือกตา

รักของเราลึกล้ำเกินคำกล่าว
ใช่ชั่วคราวชั่วครู่เสน่หา
ใช่น้ำผึ้งพิษหลงจารจิบเหยื่อมายา
ใช่ปรารถนาภายนอกหลอกวันวัน

รักของเราสงบสุขเลิกทุกข์ร้อน
รู้เพลาผ่อนแลโลกนี้พลีสร้างสรร
รักของเราอยู่ตรงนี้ที่เอื้อปัน
ฝากมหัศจรรย์งามให้สร้อยสายใจ

รักของเรามิต้องการทรัพย์ภายนอก
ที่ลวงหลอกหลงใหลให้คว้าไขว่
รักของเราประคองจิตเกี่ยวก้อยไป
รอภพใหม่ได้กรานกราบแทบบาททองพระพุทธองค์..

..............................
สวรรค์ลาฟ้าจุมพิต!

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4.html

จันทร์ค่อนดวงลอยเด่นบนฟากฟ้าแจ่มจรัส
ในขณะที่...
หยาดน้ำค้างหยาดเย็นหยดพรมลงบนพื้นหญ้า
และรินพร่างจากนภาสีกำมะหยี่ลงเกาะกลางกลีบกุหลาบแแฉล้ม
แต้มฉ่ำสดราวเพชรพราว...


ดวงดอกไม้ไทยรายรอบกระท่อมวิมานวนา
แข่งกันพร่างกลิ่นอวลหอมพรายพรมไปทั่วทุกทิศ
รอเวลาทายทักอาทิตย์อวดองค์อรชร
พรายแสงทองอ่อนๆอุ่นอุ่นโอบเอื้อ


ผม..ตื่นมากับฟ้าสางเสียงดุเหว่าแว่ว
เสียงไก่ขันเอ๊กอีเอ๊กแว่วมา..จากบ้านใกล้เรือนเคียง
เสียงเพลง
จากเรือนไทยริมทะเลหวานแว่ว
แผ่วมากับฟากฟ้ากว้าง
กับทะเลที่ยังครางครวญซัดฝั่ง
กับคลื่นคลอยังระรินสั่งราวร่ำไห้


*ทำไมหนอ..*
ทำไมหนอ..ท้องทะเลจึงครวญคร่ำครา
ทำไมหนอ..รักจึงได้จางจากดวงใจ
ทำไมหนอ..เมื่อฉันพะนอง้อเธอเรื่อยไป
ทำไมหนอ..เธอจึงไม่เห็นในไมตรี
ทำไมหนอ..ฟ้าจึงงามยามพายุผ่านพ้น
ทำไมหนอ..คนจนจนจึงรวยรักภักดี
ทำไมหนอ..ตัวของเราก็เพียงเท่านี้
ทำไมหนอ..ทุกนาทีทุกนาทีจึงต้องครวญคร่ำดั่งทะเล

ทำไมหนอ...ฟ้าจึงงามยามพายุผ่านพ้น
ทำไมหนอ..คนจนจนจึงรวยรักภักดี
ทำไมหนอ..ตัวของเราก็เพียงเท่านี้
ทำไมหนอ..ทุกนาทีจึงต้องครวญคร่ำดั่งทะเล
................


ผม..เดินทอดน่อง..ให้เท้าสัมผัสน้ำทะเลอย่างช้าช้า
อำลาทะเลพะงันงามด้วยน้ำตาปริ่มริมเรียวนัยน์ตาโศก

ทะเลที่นะบัดนี้....
พลันกลายสีมรกตเป็นสีเงินงามวะวาววับ
ยามอาบจับทาบทาด้วยสายแสงจันทร์ยามอุษา
คล้ายดั่งปรายโปรยด้วยเกร็ดเพชรพร่างพริบ


ผม...ค่อยๆทรุดตัวนั่งบนผืนทรายบนเนินกว้างร้างไร้ผู้ใด
นั่งดูไฟพราวระยิบเป็นระยะตรงขอบฟ้าทิศตะวันออกเบื้องหน้า
เรือหาปลายังไม่คืนฝั่ง... รอตะวันฉายทอดวง...


ผม...รินน้ำตาเงียบๆ
อย่างมิอายฟ้าดิน
ในความนิ่งงันงามเงียบนั้น
กับใจดวงเยียบเย็น
ยามใกล้จำพรากจากผืนดินเกิดอีกหน

เม็ดทรายรับทราบระทมทุกข์จากดวงหทัย
ที่แผกเศร้าเคล้าหวานโศก
ราวโลกตรงหน้า..เทวดาและฟ้าดินมารับรู้อวยพร..
ดวงดอกไม้ทั้งหล้าโลกร่ายฟ้อนร่วมออดอ้อนอำลา


ผม..หยัดร่างเหว่ว้ายืนอย่างทรนง.!.
แหงนเงยมองเวทีฟ้า
เพียงเพื่อซ่อนหยาดน้ำตาอาวรณ์อาลัย
ที่นะบัดนี้แสงสีเริ่มจรุง
จรัสแสงสีหวานปานเรียวรุ้ง
ส้มแสดทองชมพูผ่องพร่างพรรณราย


ผม..หันหลังลา..ทะเล..ตรงหน้า..ฟ้าเศร้า..
ทิวมะพร้าว
ต้นที่ผมเฝ้าแอบนอนดูบนเปลญวนยามไหวเอน
ทุกทิวาวันทุกค่ำคืน 
จนจำรายละเอียดแสนงามได้
เห็น..พู่ระย้าย้อยห้อยนวลดอกพราวขาวแฉก 
และ
ลูกเล็กๆแยกกระจายกลางช่อ
กลางกอที่ถูกโอบล้อม
ห้อมด้วยกลีบบานก้านแข็งแรงของก้านมะพร้าว
ที่นำมาทำไม้กวาดได้
และ
ยังใช้ประโยชน์ได้ในทุกส่วน
ไม่เว้นแต่กาบ
ที่สมัยนานมานำมาผูกสานเป็นถังตักน้ำได้อย่างงามดิบงามดี..


บางราตรี..
ผม..นอนฟังเสียงกระรอก
ไต่ตามทางมะพร้าวเฝ้าทำเสียงจิ๊กจั๊ก
ให้เจ้าอารี..สุนัขแสนดีและดีเจ
สุนัขพิทักษ์ทั้งบังกาโลว์และเจ้าของ
ได้ส่งเสียงร้องหยอกล้อกระโดดตามยามไต่..ไปตามกิ่งไหวใบระบัด
ซัดส่ายรับสายลมเสียงคลื่นคลอพ้อทรายซู่ช่าๆ


ราว*ดนตรีธรรมทะเลบรรเลง*
ราวบทเพลงโศก
ที่ฝากโลกและผู้คนบนสองฟากฝั่งให้*พบนิรันดร์เศร้าสัจจะ*
หลังพายุร้ายกลายโกรธกราดเกรี้ยวกลืนนับพันชีวิต
ในอีกด้านฝั่งฝัน
อันดามันให้ฝันกระดอนกระเด็นยากลืมเลือน
มาสอนมาเตือนบทเรียนให้ทุกมนุษย์
ได้รู้ค่าคำอ่อนน้อมถ่อมตน


และ
จงอย่าเย้ยหล้าฟ้าดิน
สิ้นยำเกรง..
พากันบรรเลงบทเพลงทำลายไม่ยั้ง..
ช่างน่าเศร้าสิ้นดีเสียจัง.
กับทุกชีวีนิดน้อยนี้


ที่แค่ผ่านมาแค่ชั่วครู่คราว
แต่ราวกับไม่รู้ซึ่งถึงค่า..ดิน..น้ำ..ลม..ไฟ..
ที่จำผสานผสมสอนพอดีพอเพียงพึ่งพาพึ่งพิง
เลี่ยงการทำลายทำร้ายกรายกล้ำกันและกัน..
*เป็นนิรันดร์รักพักพสุธา*ได้..อาศัย
ใช่มาไหวครวญทีหลังมาสำนึก...ตรึกคิดช้าไป..สายเกินไป..


ผม..*ลูกผู้ชายทะเล*หัวใจเหว่ว้า
ผิวคร้ามแดดนัยน์ตารานโศก
ที่ราวแบกโลกไว้บนบ่า
ที่ใครๆให้สมญายามได้สัมผัสจิตวิญญาณบ้านภายในว่า
ช่างแผกคิดพิเศษพิสุทธิ์นัก


ที่ช่างแสนรักแสนหวงธรรมชาติทุกสรรพสิ่ง
ราวกับจะยอมพลีชีวินชีวิตปกป้อง
ยอมตายแทนได้ทุกขณะแห่งลมหายใจเข้าออกนี้

หากสามารถที่จะรักษา....
ป่าดงพงไพรน้ำใสดินดีอุดม...ไว้ให้ยาวยืนยังชีพ
แด่ผู้คนบนแผ่นดินแม่ผืนดินโลกแผ่นดินไทย
ไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชม
ได้พบได้ชื่นฉ่ำไปนานเนานับนิรันดร์


เป็น*ความฝันอันสูงสุด*
ที่ทุกมนุษย์คงยอมพลีได้เช่นเฉกเดียวกัน
หากมีฝันมีอุดมคติ
และมีจิตสำนึกรำลึกรู้ว่า..
*ชีวิตเรานี้ช่างน้อยนิดนักราวธุลีหล้า*


และ
หากจะฝากค่าคนไว้ก่อนตาย
ให้ผืนดินมาตุภูมิกลบหน้า
ก็คงสมคำคำเกิดมาเป็นมนุษย์
ในชาติหนึ่งนี้ที่แสนสั้นนัก
ก็น่าจะนำปิติเกษมเอิบอิ่มงามมาสู่
อย่างผู้รู้อยู่...รู้เสียสละ
ด้วยความภาคภูมิใจอย่างไม่เสียชาติเกิด...


ผม..เพียรพยายามวาง ว่าง
รำงับดับทุกข์ทุกห่วงหาห่วงใย
ในผืนดินเกิดเป็นระยะๆ
ที่ได้บ้างไม่ได้บ้าง
ตามมีตามเกิดตามสายตาพาสายใจไปสัมผัสทั้งด้านดีร้าย
คล้ายยากหยุดยั้งโลกวัตถุ
ที่รานรุกบุกโหม
ให้จิตคนไม่รู้หยุดรู้พอ


ให้พากันต่อเติมตามกันไป
ในโลกเร่าร้อนด้วยพิษน้ำเงินงาม
ที่คือนิยามแห่งกิเลสลามไล้ให้อยากได้ใคร่มี
ทั้งทุกข์จากทุกวิธีแม้นมิชอบ
ยอมประกอบกรรมเผาไหม้ให้นรกในใจผุด..ราวดอกเห็ด 


ให้เหลือเย็นน้อยสวรรค์ลอยลา
ไปกับตัณหาบ้ารวย..มิรู้พอ..
และ
หน้ามืดพอที่จะหากินด้วยอาชีพทุจริต
คิดทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วยนานาสารพันอบาย..


ที่...
กำลังถาโถมให้เกาะสวรรค์กลางอ่าวไทย
เริ่มกลายกลับเป็นนรกอีกไม่นาน
หากทางการมิหาญกล้าส่งคนดี
ที่ราวเปาบุ้นจิ้นมากำจัดคนเลวกวาดล้าง
ให้ล่วงสู่ทะเลโลกย์โศกนรก
อย่าได้มาผุดเกิดทำลายเยาวชนคนดีดีอีกต่อไปเลย..


ผม..คนช่างคิด..รับราชการมานานปี..
สนองคุณแผ่นดินแห่งงามนี้
ที่แสนสวยพิสุทธิ์บริสุทธิ์ราวไข่มุกกลางอ่าวไทย
ด้วยสัตย์ซื่อถือมั่นในคุณธรรม..
แต่ทว่า
ในวันนี้..ผม..จำต้องหันหลังลา
เมื่อครบวาระการโยกย้าย...มาถึง


ผม..ปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายรินไหล
ในห้วงหัวใจอย่างช้าช้า
ราวสายฝนพรำรับระกำระทมทุกข์ทับ
ที่ยากดับร้อนผ่อนเย็นแก้ไข


มาตรแม้นไม่รวมพลังใจพลังอุดมการณ์มาร่วมด้วยช่วยกัน
ใช่..!รับสินบน..คอรัปชั่น
มีทั้งบ่อนทั้งปาร์ตี้ ยาอียาสารพัดสารพันราวนรกอเวจี
ให้คนดีดีเด็กๆวัยรุ่นหมกมุ่นเมามัวมั่วยา
พากันเสพสุขชั่วยาม
หากคืออนาคตแห่งชาติที่น่าห่วงใยเป็นยิ่งนัก
ที่จักกลับมาคืนทำลายชาติย่อยยับในวันหน้า..หานานไม่..


หัวใจผม..จึงดายเดียวเหว่ว้า..
ราวกับว่าอยู่ปลายโลกร้างกลางทะเลกิเลสโลกโศกรานลำพัง
กับ
วันนี้ที่จำต้องหันหลังก้าวลา
จากแดนดิน*พะงันงามราวสรวงแสนขวัญสวรรค์เยือนหล้า*..
นะกลางทะเลไหมมรกตสดใสกระจ่าง
สว่างไสวด้วยอากาศแสนดี..ฟ้าที่แสนงามทะเลที่แสนสวย


ที่ในวันนี้นะวันนี้
เกาะแห่งนี้..
เหลือความฝันสวรรค์ลอยเลื่อนให้คว้าไขว่นับวันน้อยลงทุกทีๆ
จะมีก็แค่สวรรค์ลวงรอล่วงลาลับมิกลับมา..อีกเลยแล้ว


ผม..ถูกสอน..ให้หยุดคิด..
รู้วางรู้รำงับดับทุกข์ทุกผันแปรไม่แน่ไม่นอนในหล้าโลกนี้
ที่ยากแก้คืน จากยอดดวงใจยอดหฤทัยของผม..
เธอ..บอกผมว่า


ที่รักจ๊ะ 

กับสิ่งที่เล่า เกี่ยวกับบ้านเกิด นั้น 
เข้าใจและเห็นใจมาก 
เข้าใจความรู้สึกที่เพียรจะอธิบาย    
คนดีสิ่งที่เห็น ที่พบ 
สิ่งที่เปลี่ยนไปในโลกปัจจุบัน  
มันเป็นไปตามกฎธรรมดาของโลก 
โลกจะต้องเป็นอย่างนี้ 
 คนดี คนชั่ว เกิดขึ้นเพราะ กรรม 

ดังนั้น เราจึงควรนำสิ่งที่เราเห็นนี้ 
มาสร้างให้เกิดปัญญาต่อจิต 
มาสร้างให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายยึดในโลก   
ถ้าเราเกิดมาอีก 
เราก็ต้องเจอสภาพอย่างนี้  
มันวนเวียนมาแบบนี้ทุกชาติภพ 
ชาตินี้เราก็เห็นแล้ว ว่า เป็นยังไง  


 เราจึงต้องถามตัวเองว่า 
เรายังปรารถนา
ที่จะเกิดมาพบกับสภาพเหล่านี้อีกไหม 
แต่การคิดจะต้องคิด
ด้วย จิตที่ไม่เศร้า หมายถึง 
เมื่อเราคิดพิจารณาอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ 
ผลของการคิด 
จิตเห็นตามความเป็นจริง 
จิตจะไม่หดหู่  เศร้าหมอง 
จิตจะสว่าง  อิ่ม  เพราะมองเห็นโทษ เห็นความจริง ณ เวลานั้น 

จะต้องคิดจบลงตรงที่  
ปรารถนาพระนิพพานนะจ๊ะ 
คือ สุดท้ายให้น้อมจิตว่า  
ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นคน เป็นเทวดา 
เป็นพรหม เกิดมาพบกับสิ่งเหล่านี้ จะไม่มีกับเราอีก  
เราตั้งใจจะไปนิพพาน 

ชาตินี้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน  
หากข้าพเจ้าตาย  
ขอจิตข้าพเจ้าไปสถิตอยู่ ณ ที่ 
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้า อยู่ด้วยเถิด 
ทุกครั้งเวลาปฏิบัติธรรม
จะต้องน้อมคิดอย่างนี้นะจ๊ะยอดรัก 
ดังนั้นหากสิ่งใดที่เกินวิสัย
ที่เราจะแก้ได้ เราต้องวางใจเป็นกลาง 
ในธรรมดาของโลกนั้นจ้ะคนดี 


ถามว่า ถ้าคนดีรีบลาพุทธภูมิไป 
คนดีก็หมด  
จริงๆแล้ว  ไม่มีใครดีหมด 
ไม่มีใครชั่วหมด   
คนจะดีจะชั่ว
อยู่ที่ กรรมเข้ามาสนอง  
เมื่อไหร่ที่กรรมชั่ว 
สนอง  ความดีเข้าไม่ถึง  
เขาจะทำความดีไม่ได้เลย 

เมื่อไหร่ ที่กรรมดีเข้าสนอง 
กรรมชั่วจะเข้ามาไม่ได้  
เขาจะทำความชั่วไม่ได้   
ดังนั้น  เราเจอคนไม่ดี 
เห็นคนไม่ดี  คนเหล่านี้ 
คือ คนทีน่าสงสาร  
เพราะอกุศลกรรม ทำให้เขาพูดผิด คิดผิด ทำผิด   

ตายไปแล้วเขาต้องไปเสวยผลบาปกรรม
ที่เราเห็นบนโลกเป็นแค่เศษกรรม 
กรรมหนักจริงๆ  กรรมชั่ว 
เขาต้องไปเจอหลังจากตาย 

ดังนั้น คนชั่วหรือทำไม่ดี 
จึงเป็นคนที่เราต้องทำจิตให้เมตตาต่อเขา 
ไม่ว่าเขาจะทำไม่ดีต่อเรา  
เราอาจไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว 
(คนที่เราไม่รู้จัก ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนที่สามารถเตือนได้) 
เราก็ทำจิตเมตตา  เขาอยู่ในใจ   

แต่คนที่เราช่วยได้ 
รับฟังเรา  ถ้าเราทำดีที่สุด  
แล้ว  เขาอาจทำตามเรา 
หรืออาจไม่ทำตาม  
เราต้องทำใจวางเฉย  ทำใจให้สะเทือนใจน้อยที่สุด 
กับพวกเขา 


แต่ละคนมีกรรม  
มีวาระของตัวเอง  
คนดีที่มาเกิดจะต้องมี  
เพราะ  เป็นกฎของสังสารวัฎ 
พระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาจะขนสัตว์ มีเยอะมาก 
แต่ละองค์ก็จะมี กลุ่มของตนที่จะต้องโปรด  เราจะ 
ไปก้าวก่ายกันไม่ได้ ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน 

คนดีอย่าห่วงอะไรเลยนะ  
เราไม่สามารถจะไปแก้กฎของกรรม ในโลกนี้ได้  
และไม่สามารถทำให้ใครเป็นได้ดั่งใจเรา 
ดังนั้น ชาตินี้เราทำดีที่สุด
 เท่าที่เราทำได้ก็ชื่อว่า 
ไม่เสียชาติเกิดแล้วจริงไหมจ๊ะ 
..................
 


และ
แม้นมาตรแม้นวันนี้
เธอ..คนดีที่ผมแสนรักเอยแสนรักในกมล
จะพรากลาไปเลือกโลกกุตระธรรมสงบเย็นแล้วก็ตามที


หาก..ทว่า
คำสอนให้ยึดมั่นธรรมะยอดพระรัตนตรัย
ที่คือความดีอันอมตะที่แสนงาม
ให้รู้ดับได้ทุกสรรพสิ่ง
หากเรารู้นิ่งคิดพินิจเพียรพยายามทำดีที่สุดแล้ว


และ
คำสอนแสนไสวว่างกระจ่างแจ้ง
ให้ดวงใจดายเดียวมิไหวครวญตามกระแสโลกโศกสุขนั้น
ก็ยังคงสถิตสว่างสะอาดสงบสยบร้อน
นะกลางจิตกลางใจของผม

ให้ใจดวงรานดวงหวานโศกระทมท้อแท้ในบางคราว
ให้ยังคงพร่างพราวราวมีอัญมณีชีวิต
สถิตเป็น*ดั่งรักนิรันดร์*
หลอมรวมกันไปเป็นดวงเดียว..ตราบวันตาย


นาทีนี้..ผมจึง..ค่อยๆวางปล่อย
และค่อยๆเรียนรู้
เพียงอย่าท้อถอยคอยทำสิ่งดีดีดับดำ
ที่พรำพรมห่มหัวใจคนมากมี
ที่ยังมืดดำนะที่แห่งนี้
ที่ยังลอยคอควะคว้างกลางทะเลน้ำตา
ทะเลโลกย์โศกสุขทุกข์ปิดตาจนมองไม่เห็นฝั่งฝัน
ฝั่งพระนิพพาน


ให้รู้วางรู้ว่างรู้เบื่อการว่ายวนวิบาก
รอให้พระโพธิสัตว์
มาขนสัตว์มนุษย์ให้เพียรพบทานศีลภาวนาสมาธิ
ที่จักมีปัญญาและเลิกหลงใหลในวัฎฎสังสารนานชั่วกาลกัปป์กัลป์


ที่ยังมากมีมากมายนัก
ที่จักยังรอเวลา
ที่ต่างจิตต่างใจต่างจิตสำนึก
ในการใช้ชีวิต
และหากรู้หยุดคิด
เพียรเพาะบ่มจิตสะสมบุญกุศล
ก็จักพาพบมิ่งมิตรกัลยาณมิตรธรรม
ที่จะน้อมนำ
ก็พ้นดงกรรมพงหนามได้พบฝั่ง..ฝันสักวันหนึ่งไม่นานช้า..


เรือ..เฟอรี่สีขาวลำใหญ่ยักษ์ราววิมานลอยน้ำ
กำลังลอยลาพาผมพรากจากฝั่งฝัน..
สวรรรค์ในใจผมมานานปี
ที่ผมเพียรฉลาดวาดวงชีวีชีวิต
เพียงมาตักตวงเพียงด้านดี


และ
มาทำหน้าที่ลูกผู้ชายชาติไพร
ที่
มีหน้าที่มาปกป้องป่าไม้
และคืนกลับให้แต่สิ่งดีดีฝากไว้
อย่างสมค่าคำ*ข้าแห่งแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง*
............


และ
เช้านี้..ผม..
กำลังเดินทางไปรับหน้าที่อีกที่ไกลห่างจากที่นี่
ไปทำหน้าที่ลูกผู้ชายพิทักษ์ป่าเขาลำเนาไพรในแผ่นดินไทยนี้
ตามวาระหน้าที่
ตามความสามารถ


ที่ผมเพียรทุ่มเทด้วยหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจ
ด้วยสายเลือดรักภักดี
ต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ไทย
ที่ทรงเป็นต้นแบบฉบับอันแสนยิ่งใหญ่ให้ใจไทยทุกดวง
ได้ประพฤติปฎิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ด้วยคุณธรรมความดี
ที่รู้เสียสละตามอย่างบรรพชนมาอย่างยาวนานยาวยืน
เพื่อปกบ้านป้องเมืองไว้ให้ลูกหลานไทยได้ภาคภูมิในอิสรา


ผม..พาตัวเองขึ้นมานั่งบนชั้นดาดฟ้า..
ที่ร้างไร้ผู้คน
เพื่อหวังฝากกมลทุกนาทีหัวใจเต้น
รำลึกงามบนผืนดินที่จำพรากลาตามหน้าที่..


น้ำตา..ผมท่วมใจท่วมท้นล้นถั่ง
นะบ้านภายในจิตวิญญาณภายใน
ที่ยากที่ใครจะหยั่งเห็นด้วยตาภายนอกถึงโศกราน


และ
จะมีใครรับรู้บ้างนะว่า..
หัวใจ..ลูกผู้ชายคนเก่งคนแกร่งคนกล้า
ก็รู้ร้าวรอนซ่อนซึ้งหวานโศกและร้องไห้เป็น
กับทุกสรรพสิ่งอันแสนดี
ที่ควรค่าแก่การละหลั่งรินน้ำตาสังเวยเทวษถวิลไห้
อย่างมิอายดินฟ้า
นะ..เวลานี้
ที่นั่งลำพังดายเดียว
กับทุกเสี้ยวเวลา
ที่นาวาจริงกำลังนำพานาวาชีวิต
สถิตลอยล่องไปด้วยกันออกไกลห่างจากฝั่งรักฝั่งฝันออกไปทุกทีๆ..


ในคลองตาคลองใจที่แสนไหวครวญ
ราวพรานทะเล..พราก..ลา
และมิอาจจะรู้ได้ว่า
นาทีไหนลมหายใจแห่งชีวาชีวิต
ที่แสนสั้นพลันจะดับลับลาอย่างดายเดียว
กลางทะเลโลกย์ลำพัง
มิได้คืนหลังกลับมาอีกเลยแล้ว..


ผม...หันหลังลา
ด้วยดวงใจบอบช้ำ
หากย้ำตอกสลักดาลความเศร้าขังไว้นะบ้านภายใน
หันหน้าออกไปเผชิญโลกกว้างทางไกลข้างหน้าที่ท่ารอ..


และ...
ด้วยดวงใจเชื่อมั่นศรัทธา
ที่จะพลีบูชาปกป้องป่า..ดิน..น้ำ..ให้ยังคงอุดม..ยังคงอยู่
คู่กับผืนดินทองแผ่นดินไทยธรรมแผ่นดินไทย
ไปตราบชั่วกาลนานนิรันดร์
ภายใต้ร่มเงางามแห่งพระรัตนตรัย


และ
ร่มเศวตรฉัตรอันแสนสงบเย็นเป็นสุขแผ่ไพศาล
ที่พร่างพราวกระจ่างสว่างไสวมาแสนยาวนานราวอัญมณีไท
นะ..
ผืนแผ่นดินแห่งขวานทองโบราณแห่งรักนี้ที่เรียกว่าไทย..ไทย..


หัวใจ..ดวงทองของผม
จึงเริ่มผ่องผุดพิสุทธิ์พราย
ให้หยุดคิดคลายเศร้าหม่นในนาทีนี้นะนาทีนี้


และ
อย่างช้าช้า..ช้าช้า...
ราวสวรรรค์มีตา
ฟ้าปรานี
ดินใจดี
และ
โลกที่เคยเหว่ว้าดายเดียวกลับพร่างพราว


เมื่อ....!
สายตาสายใจผมพาพบ
ใครบางคน....
ค่อยๆย่างเยื้องมายืนตรงหน้า
และ
หันหน้าไปทิ้งอารมณ์ทอดตาทอดใจทัศนาทะเลกว้าง
ให้ลมพัดพร่างผมยาวสลวยปลิวไสวไปทางเบื้องหลัง
เปิดเรียวหน้าละมุนโศกหวาน
หากงามเศร้าซึ้งเป็นยิ่งนัก


และ...!!!
ก่อจิตปฎิพัทธิ์มหัศจรรย์รักนะกลางจิตกลางใจผมนะบัดดล
ราวปาฎิหารย์รักแรกพบ..!!
และ...
ยาม..เมื่อเธอหันมา...สบตากับ..ผม....นิ่งๆเพียงชั่วแวบ!
ผม...
ก็รู้สึกแปลบปลาบในหัวใจอย่างแสนน่าพิศวง..


ผมตะลึงงัน!..ฝันหรือจริงเล่าละหนอ..โอ้ชะตา
และนี่อย่างไรกันเล่า...โลกและฟ้าดิน
เธอคือภาพผู้หญิงในฝัน
ที่ผมเฝ้ารอหา..รอท่า..รอรัก..รอฝากภักดิ์พลี
มานานแสนราวชั่วกาลกัปป์กัลป์...


และ..กับ
ตระการกอ..กอดอกรัก..!ที่บานสะพรั่งพรึบนะกลางจิต
นะบัดนี้ที่ราวรักแรกพบราวสวรรค์ปรานีราวฟ้ามีเมตตา
ให้ผมยากยิ่งหาคำมาอธิบาย...


และ..
หากตราบชั่วชีวิตนี้
ผม..ยังพอมีโชค
โลกและพรหมลิขิต
คงจะชักนำให้ผมกับเธอ
ได้สานต่อทำความรู้จักและรักกัน


เพื่อพากันลอยล่องท่องนาวาทอง
ไปสู่ฝั่งฝันนิรันดร์รัก..
ให้โลกทั้งโลกอิจฉา
ให้ฟ้าแลดินและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นิรมิตประทานพรให้กับสองเรา
...............


เอาละนะ..ครับ
มาเอาใจช่วย.
พระเอกคนดีคนกล้าคนเก่งคนแสนดีแสนน่ารักนัก..อิอิ
ให้พบกับ
รักแท้แสนวิเศษนี้นะทุกคนดีทุกดวงใจ
แล้ว...
ผมจะกลับมาเล่าต่อให้ฟัง
หากฝันในวันนี้เป็นจริง..


ได้ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์
ได้เคียงข้างประคองขวัญประคองร่างจิต
ทนุถนอมเธอคนงามคนดีคนนี้ไปตราบชั่วชีวิต
ไปสู่ร่มรักร่มธรรมอย่างที่
ผมรอ..ผมฝัน..ผมหวัง..มานานแสนนะครับ
................................


*ผม...สวัสดีครับ..
ทะเลสวยนะครับ..*
*เธอ..
ค่ะ..สวยสงบสุขดีค่ะ*
แล้วคนดีของผม
ก็ค่อยๆคลี่ยิ้มหวานให้หัวใจผมเต้นตูมตามตามมา


และ
หาก..ตาผมไม่ฝาดไป..
ผม..เห็นนัยน์ตาเธอนั้น
งามพราวราวน้ำผึ้งรวง
ราวดาวดวงประกายพฤกษ์พรายพร่าง


และ
โลก...ในดวงใจผม
ก็เริ่มไสวสว่าง...
สักร้อยเท่าพันทวีแล้วครับในนาทีแรกนี้..

ที่ไม่เลวเลยทีเดียว..ใช่ไหมละครับ..กับฉากรักแรกพบนี้อิอิ!!.....

...........................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4.html
จงรัก   

โปรด อย่าถาม ว่าฉันเป็นใคร
เมื่อในอดีตและโปรด อย่าถาม 
ว่าอดีต ฉันเคย รักใคร
รู้ไว้อย่างเดียว เดี๋ยวนี้รักเธอ
และรักตลอดไป รักมากเพียงไหน 
กำหนดวัดได้ เท่าดวงใจฉัน
อย่า เพียรถาม ว่าฉันจะรัก 
เธอนานเท่าใดฉันตอบไม่ได้ 
ว่าฉันจะรัก ชั่วกาล นิรันดร์
เพราะชี วิตฉัน คงไม่ยืนยาว
ไปถึงปานนั้นรู้แต่เพียงฉัน 
หมดสิ้นรักเธอเมื่อ ฉันหมดลม

อย่า เพียรถาม ว่าฉันจะรัก
เธอนานเท่าใดฉันตอบไม่ได้ 
ว่าฉันจะรัก ชั่วกาล นิรันดร์
เพราะชี วิตฉัน คงไม่ยืนยาว
ไปถึงปานนั้นรู้แต่เพียงฉัน 
หมดสิ้นรักเธอเมื่อ ฉันหมดลม...

 
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด