9 กันยายน 2547 10:16 น.

ดั่งน้ำค้างกลางมหานทีสีทันดร!

พุด


Urlhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3408
(ความรักไม่มีวันละลาย)
*******

คืนนี้ ฟ้ามืดไร้สิ้นแสงดาวเดือน
ฝนพรำสายลงมาอย่างหน่วงหนัก
ต้นไม้ทั้งในราวไพรราวป่าราวเมือง
ต่างพากันไหวเอนอ่อน
มิยอมทายท้าสายพระพิรุณร่ำ


ฟ้าแลบมาเป็นระยะอย่างน่ากลัว
กิ่งจำปีหักเป๊าะลงมาเสียงดังสนั่น!

สายวสันต์...นะบัดนี้พลันกลาย..
ราวปีศาจร้ายหมายสั่งสอนโลกและมนุษย์ให้หยุดคิด
ถึงความยิ่งใหญ่ในพลังแห่งธรรมชาติ
 


ผม..นอนลำพังดายเดียว*ในเรือนบัว*ริมบึงของผม
จุดเทียนหอมๆฟังบทเพลงบรรเลง
และบทเพลงสายฝนกล่อมกมลขวัญ



เรือนที่ผมเคยเล่าให้ฟังมาก่อนหน้านี้
เรือนที่มีดวงดอกปาริชาติสะพรั่งพรึบริมเรือน
มีบัวน้อยนานาพรรณ
ลอยชู่ช่อรออรุณอันอบอุ่นอ่อนหวาน
บานตระการทายท้ามวลภมรภู่ผึ้งตรึงใจ
มีเรือมาดลำน้อย
ให้ผมค่อยๆพายพา
ไปนะกลางสายชลใส


ไปเก็บอุบลบานเกสรงามแย้มพราย
 อุบลสายที่เพิ่งตูมตั้ง อุบลวรรณอุบลวณา
ที่คงทราบว่าผมรักบูชาดั่งชีวิต..
ยามที่ผมเคยลิขิตรจนาฝากเอาไว้
เมื่อยามได้พายพาเรือไป
เอนตัวกลางลำ..ลำพังและเฝ้านอนระร่ำรินรับ
เสียงแห่งสายน้ำที่พร่ำกระซิบรัก
ต่อมวลมาลีต่อพสุธารักนี้ที่แสนงามงด


ต่อทุกพลังธรรมชาติ
ดินน้ำลมไฟ
พรายพระอาทิตย์
แสงจันทร์พราวยามรายรอบวงทรงกลดงดงามราวรัศมีรุ้ง
ดูดาวอะเคื้อเจือแสงหวานระยิบระยับ
แขวนเหนือฟากฟ้าประดับราตรีให้มิหมองหม่น
แมกไม้ปรายปรนร่ายระบำรับหยาดละออละอองน้ำค้างในยามดึก


ที่ทุกสิ่งนั้น
ต่างพากันเอื้อโอบฝัน
เกี่ยวพันกันไปทั้งหมดสิ้นราวโซ่ธรรม..ธรรมชาติ
ที่แยกไม่ออก 
เหมือน
คลื่นที่ต้องคู่ทะเลโอ้ละเห่ให้เห่กล่อม
เหมือนพวงพะยอมต้องอาศัยพสุธาแตกช่อกอกิ่ง
ทิ้งดวงดอกงามแต้มบานประดับหล้าประดับโลกลบโศกสุข


ที่เฝ้ารอขอเพียงหยาดน้ำทิพย์จากนภา
มาพร่างรินให้อยู่รอดปลอดภัยให้ไสวยืนต้น

เหมือนนกที่ต้องอาศัยท้องฟ้าบิน
ผกโผผินออกล่าหาเหยื่อ
เพื่อท่องอย่างอิสราสู่โลกกว้าง


เหมือนฟ้า
ที่หากปราศจากดวงดาราดวงตะวัน
ก็พลันจะหมองหม่นมืดดำ
ราวกับโลกนี้แหลกสลาย


เหมือน
หญิงชายที่พระเจ้าประทานมาให้คู่กัน
ให้เกิดมาพบค่าล้ำ
ในพลังรักนิรันดร์มหัศจรรย์รักปาฎิหารย์รัก
อันแสนหนักแน่นยิ่งใหญ่

มีคู่จริงคู่ใจคู่บุญคู่กรรม
คู่ธรรมคู่ทอง
ที่นับวันจ้องจะหายากยิ่ง
ราวหามวลดอกบัวสะอาดไหวกลางบึงกว้าง
ที่มักจะถูกทิ้งร้างห่างไกลเหี่ยวแห้งคาบึง
ผึ้งไปไม่ถึง ภมรบินไม่ไหว ดูไกลเกินเอื้อมคว้า


ผม..มา
นอนแอบอ้อนดูฟ้าโพล้เพล้เหว่ว้า
ดูเวทีฝันเวทีธรรมเวทีธรรมชาติ
เล่นแสงสีสวยหวานในยามเย็น

ให้หัวใจผม..
ที่ชอบเร้นร่างราวไร้รอย
มานอนคอยผสานจิตกับทุกสรรพสิ่ง


นิ่งฟังเสียงปลากระโดดผึงฮุบเหยื่อเหนือสายน้ำ
ดูภุมรินทร์บินว่อนร่อนภิรมย์ตระโบมสุข
คลุกเคล้าเกสรหวานๆอย่างละเมียดละไม


เสมือนบทกวีจากดวงใจ
บทนี้ที่ผมรจนาเอาไว้นานแล้ว

เรือนริมบึงตรึงใจวิมานฝัน
บัวหลากพันธุ์บานชูช่อล้อแดดใส
จิก..ดอกหวานหว่านดอกลำธารไพร
นั่นต้นไทรไหวเอนลู่คู่นกกา..

ตะวันสีไพลชิงพลบหลบเงาเมฆ
ธรรมชาติเสกใจรื่นรมย์ชมมัจฉา
มีชานฝันอันภิรมย์ชมพนา
ตะวันลาโพล้เพล้เหว่ว้าใจ..

พายเรือน้อยลอยคว้างกลางสระกว้าง
นอนอ้างว้างมองดูดาวพราวสุกใส
โอ้ดาวน้อยลอยเด่นดวงสุดแสนไกล
ราวสอนใจไม่มีวันฝันเป็นจริง..

จุดตะเกียงเคียงหัวนอนเขียนกลอนฝัน
นวลแสงจันทร์ลอดโลมไล้ลืมทุกสิ่ง
หมอนสีขาวพราวดอกไม้หอมงามยิ่ง
หลับตานิ่งทิ้งหัวใจไม่ตรอมตรม...

พอยามดึกพฤกษ์ไพรน้ำค้างพร่าง
ใจว่างว่างลืมโลกลืมโศกสม
เรือนหลังน้อยกับจิ้งหรีดร้องระงม
เนื้อใจบ่มเพาะฝันดีที่งอกงามด้วยเงียบงัน
******


ฝนภายนอกยังพรำสายหนัก
ค่อยค่อยคลี่ฟ้า..
เทสายน้ำรักสายน้ำใจ
ลงหยาดรินไปทุกถิ่นที่อย่างมากมีเมตตา 

ราวสอนสั่งให้มนุษย์พากันมากมีปรานี
ต่อทุกคนดี อย่างไม่เลือกที่รักที่ชัง


เสมือนดั่งบทเพลงพระราชนิพนธ์บทเพลงนี้
ที่งามล้ำในธรรม..ธรรมชาติ
และด้วยหยาดน้ำใสดั่งพระราชหฤทัย
เกินกว่าจะหาคำใดในปฐพีมากล่าวชื่นชมโสมนัส

ที่ผมมักจะได้ยินวะแว่วมาในมโนนึกทุกคราครั้ง
ยามเห็นสายฝนละหลั่งรินมิรู้สิ้นรู้จบ


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3094
สายฝน.....บทเพลงพระราชนิพนธ์

เมื่อลมฝน บนฟ้ามาลิ่ว
ต้นไม้พลิ้ว ลู่กิ่งใบ
เหมือนจะเอน รากคลอนถอนไป
แต่เหล่าไม้ ยิ่งกลับงาม
พระพรหมท่าน บันดาลให้ฝนหลั่ง
เพื่อประทัง ชีวิตมิทราม
น้ำทิพย์สาด
เป็นสาย พรายพลิ้วทิวงาม
ทั่วเขตคาม ชื่นธารา

สาดเป็นสาย
พรายพลิ้วทิวทุ่ง
แดดทอรุ้ง อร่ามตา
รุ้งเลื่อมลาย พร่างพรายนภา
ยาม เมื่อฝนมาแต่ไกล
พระพรหมช่วย อำนวยให้ชื่นฉ่ำ
เพื่อจะนำ ดับความร้อนใจ
น้ำฝนหลั่ง ลงมาจากฟ้าแดนไกล
พืชพันธุ์ไม้ ชื่นยืนยง...
***********


และกับ
คืนนี้..
คืนที่ฝนฉ่ำฟ้าในยามวสันตฤดู

คืนที่
ดวงใจผมหมองหม่นเทาทึมพอกับฟากฟ้า
คืนที่สิ้นไร้ดวงดาราและสายแสงจันทร์
อันเคยโอบเอื้ออ้อนอ่อนหวานมานานเนา


คืนที่..เธอ..ดาราขวัญ ฝัน ประจำใจประจำจิต
โทรมาฝากเสียงกระซิบราวจากฟากฟ้าอันแสนไกล

เธอ..จำพรากจำลาไกล
พาร่างใจไปชดใช้วิบากกรรมเก่า
พาดวงใจใสสวยสงบงาม
และจิตวิญญาณบอบช้ำลาลับดับดวงดอกขวัญ
ไปตามทางเส้นขนานกันกับผมเป็นนิรันดร์รัก


ไปเข้าพิธีมงคล..
พิธีที่จะเชื่อมคนสองคนไว้ได้นานแค่ไหน
จะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน
ก็ต้องขึ้นกับพลังใจพลังจิต
พลังแห่งรักอันหนักแน่นมั่นคงในเบื้องต้น


และ
จักต้องใช้หลายองค์ปัจจัยประกอบในเบื้องกลาง
ถึงจะแตกยอดงามตามต่อก่อเกิดความภาคภูมิปิติ
ที่นอกเหนือจากรัก..
ยังจักต้องมีคำว่าอภัย มากเมตตารู้หน้าที่
มีความรับผิดชอบต่อบ่วงรักบ่วงกรรม
ที่พลีพร้อมยอมล่วงล้ำก้าวขาก้าวใจเข้าไปรับแล้ว


และที่สำคัญ
ต้องพากันค้นหาทางธรรมทางทองไว้ส่องสอนใจ
มิไห้ไหวกระเพี่อมไปแรงอยากแห่งกิเลสใจ
กิเลสมนุษย์มากมายมากมีที่จะมาพากันกระทบกระทั่ง
และกับกิเลสโลกย์นี้
ที่จะพบโศกมากกว่าสุข
ยามผ่านพ้นอิ่มเอม..ร่าง..
อันรอจะเหลือเพียงพลัง
จะต้องสู้คู่กันไปราวนกน้อยเหินบิน


และ
สำหรับผม...
ที่ระทมทับนักกับความคิดเพียงผ่านวับเพียงวูบไหว
มาทดสอบใจให้รู้ดับทันคือ
เพราะ
ใครคนนั้นมิใช่ผม..ผู้ชายที่เธอบอกว่า
เธอรอคอยมาแสนนานและคงชั่วกาลกัป์ปกัลป์


คน..
ที่เธอบอกว่า
*หวังจะเป็นคู่บุญคู่ธรรมคู่ทองอย่างสองเรา
ที่มีชีวิตอันงดงามน้อยนิดดั่งธุลีหล้า
และแสนโชคดีได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
ราวเทียนทองส่องคู่ใจนำทางพาจิตใส
ไปด้วยกัน 
จนกว่าร่างจะลาลับดับสังขาร*


ผม..
นอน..หนาวใจหนาวในความรู้สึก
ในความรำลึกรู้อย่างผู้มีสติปัญญา
ที่ปัญหาโลกย์ตามมาทดสอบพลังจิต
เพราะ


ถึงมาตรแม้น
ผม..รักเธอ..รักมากมาย
แต่ผมรู้ดีว่ารักของผมมิได้หมายจำต้องเสียดายเสียใจ
กับคำลาไกลราวเราต้องแยกร่างห่างกัน
เพื่อดำรงร่างนั้น..อันจักเลื่อมสลายไม่นาน

ไปทำหน้าที่ไปตามทางโลกย์
ไปตามวิถีทางจนกว่าจะหมดวิบากกรรมเก่า


ผมเพียงเงียบเหงา
อ้างว้างที่ผมแค่คิดถึง*คำคู่จิตคู่บุญคู่ชีวิต
คู่ธรรมคู่ทอง*
ที่ผมอยากพาเธอลอยล่องท่องไปกับ*เรือใบไม้*
เรือที่ต้องใช้*จิตดวงใสราวพายทอง*พาแหวกว่าย
ไปพบฝั่งฝันแห่งความงามอันอนันตกาล
เงียบ..ไร้ร่าง..ว่างเปล่า..สุขสะอาดสงบ


และ
ไม่ต้องกลับมา
พานพบกับเงื้อมเงาแห่งเนื้อหนัง
ที่จำต้องชดใช้ว่ายวน
ในดงน้ำกรรมน้ำกามท่ามกิเลสอีกต่อไป..

ผม..จึงเพียงเพียรสงบรำงับ
หยุดนิ่ง..
และ
น้อมร่างค้อมกราบกรานองค์พระปฎิมา
เพียรฝึกสมาธิภาวนา
และทุกทิวาราตรี
นับเนื่องต่อจากนี้
ไม่มีอำนาจใจใดใดจะมาก่อเกื้อเหลือให้ผมยึดมั่นถื่อมั่น


ผม...จะวางมันลง
และค้นหาความสุขสงบจากจิตภายในผมเอง..
บ้านภายในขุมทรัพย์ภายในใจผมเอง


ที่...งามพราวราวมีอัญมณีเพชรพร่างสว่างสุกใส
รอนำทางสู่..
ความงามอันเป็นอมตะนิรันดร์


และ
ดวงดอกจิตราวดอกปาริชาติในกามนิตวาสิฎฐี
ราวบัวบานสะอาดใสดวงดอกนี้
จะมลายลับดับความยึดมั่นถือมั่นในทุกสรรพสิ่ง
ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี
เท่าทีชีวีจะมีกุศลเพียรพา..จนกว่าชีวิตจะหาไม่
ไปนิมิต..สถิต..สถาวร
เป็นหยดน้ำใสในมหานทีสีทันดร
อันเวิ้งว่างงามเงียบไปตราบชั่วอนันตกาล!!!

***************


url=http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3408
ความรักไม่มีวันละลาย   ละครทีวี..สายโลหิต : : Key F  
ช...ดั่งขอบฟ้าไร้แสงตะวัน
หากใจฉันไม่มีรักของเธอ
ญ..ตั้งแต่วันแรกเจอ
ก็มีเงาร่างเธออยู่ในใจ
ช...หนึ่งชีวิตให้เธอผู้เดียว
จะไม่เหลียวไม่แลผู้ใด
ญ...หนึ่งความรักให้ไป
จะเนิ่นนานเท่าไรยังซื่อตรง
คู่ตราบอาทิตย์
และดาวที่พร่างพราย
คู่เลือนหรี่ดับลับไปจนมืดลง
ญ...แต่สายใยแห่งรักจะมั่นคง
กว่าลมหายใจที่เรามี
ช....หากวันไหนสองเราจากกัน
อย่าหวั่นไหวเพราะใจเธอรู้ดี
ญ...กี่แสนวันหมื่นปี
ความรักเราไม่มีวันละลาย

คู่ตราบอาทิตย์
และดาวที่พร่างพราย
คู่เลือนหรี่ดับลับไปจนมืดลง
ญแต่สายใยแห่งรักจะมั่นคง
กว่าลมหายใจที่เรามี
ช...หากวันไหนสองเราจากกัน
อย่าหวั่นไหวเพราะใจเธอรู้ดี
ญ...กี่แสนวันหมื่นปี
ความรักเราไม่มีวันละลาย...

**********



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=347
อนาถเหลือล้ำ บัวบานเหนือน้ำ 
อยู่ห่าง คน
ลับตาอยู่จน กลางบึง
ได้แต่ชะเง้อ ละเมอ รำพึง
เจ้าอยู่ถึงกลางบึง ปล่อย ให้ผึ้ง เชยชม
แดดส่องผิวน้ำ บัวพลอยหมองคล้ำ
ด้วยแดด เผา
สีเจ้าก็เศร้า ด้วย ลม
ตกดึก น้ำน้อย นอนคอยคนชม
เจ้าต้องคลุกโคลนตมกลีบ ที่บ่ม โรย รา
บัว น้อย ลอยอยู่กลาง บึง
ครั้นคนเอื้อมไม่ถึง มีฝูงผึ้งบินมา
อยากพักพิงบนหิ้งบูชา
เขาไม่ปรารถนา แล้วจะว่าเขาแกล้ง
โธ่ อยู่ไกล หนักหนา
ดั่งซ่อนหลบตา แอบแฝง
หากปล่อยทิ้งไว้พอใจแมลง
สิ้นกลิ่นสีโรยแรง
แล้วคงเหี่ยวแห้ง คา บึง...



				
8 กันยายน 2547 01:51 น.

หัวใจเถื่อน!

พุด


url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3094
หัวใจเถื่อน   


หัวใจเถื่อน
ใจร้ายเหมือนคนป่า
ความเฉยเมยเฉื่อยชา
ถ้อยวาจาเหมือนมีดกรีดเฉือน
แสนอาลัยไม่คบใครเป็นเพื่อน
ใจเหมือนใจคนเถื่อน
ไม่เคยยิ้มเยือนกับใคร
หัวใจเถื่อนความรักเลือนหมองไหม้
ความรักจางห่างไกล
สุดอาลัยหัวใจใฝ่ถึง
เขาคือใครทำเหมือนใจเครียดขึ้ง
เพียงน้ำคำคำหนึ่ง
เสียดซึ้งไปถึงจิตใจ
อกใจอาวรณ์ร้าวรอนอาวรณ์ไฉน
ใจร้างลาอาลัย
ห่างจนไกลแสนไกลหัวใจสวาทขาดพลัน
หัวใจเถื่อนความรักเลือนไหวหวั่น
ความคิดเคยผูกพัน
ยิ่งนานวันสัมพันธ์ขาดไป
หมองใจตรมแรงภิรมย์รักใคร่
ความรักเกินจะไขว่
ยากไร้เพราะใจเถื่อนเอย
อกใจอาวรณ์ร้าวรอนอาวรณ์ไฉน
ใจร้างลาอาลัย
ห่างจนไกลแสนไกลหัวใจสวาทขาดพลัน
หัวใจเถื่อนความรักเลือนไหวหวั่น
ความคิดเคยผูกพัน
ยิ่งนานวันสัมพันธ์ขาดไป
หมองใจตรมแรงภิรมย์รักใคร่
ความรักเกินจะไขว่
ยากไร้เพราะใจเถื่อนเอย...
..........


บันดาลใจจากภาพงาม
และบทเพลงกระแทกใจ
เลยพยายามหาบทกวีเก่าเก็บ
มาลงคั่นเป็นบรรยากาศรัก
เอาใจแควนๆค่ะ
ต้องฟังเพลงดังๆประกอบนะคะ
คลิ๊กurl ได้เลยค่ะ
ระวังก็แต่กระถางกับรองเท้า
จะลอยข้ามรั้วมาจากข้างบ้านในยามดึกก็แล้วกันนะ
แล้วแต่ตัวใครตัวคุณละกันนะคะ
ราตรีสะดวกสวัสดิภาพ
ด้วยรักล้นใจในคืนคึกค่ะ
********




ผู้หญิงหวานผ่าซีก!  

คนเศร้าเศร้าอย่างเรานี้ที่เปิดเผย
บอกตรงเลย.ถึงใจ ในรู้สึก
รักก็บอก ชอกใจช้ำ ก็ย้ำลึก
ในยามดึก นอนก็หนาว ร้าวน้ำตา..

อ่านกลอนหวาน ใจก็หวั่น ก็ไหวไหว
คิดถึงใคร ไม่เคยลวง ว่าห่วงหา
คิดอย่างไร ก็เขียนกลอน อ้อนออกมา
ใจเหว่ว้า ก็ว้าเหว่ ไม่เล่ห์ลวง....

พ่ายพิษรัก พังแล้ว เจ็บก็บอก
เบื่อคำหลอก หลอกทำไม ให้ห่วงหวง
เกลียดก็บอก รักก็บอก เทใจให้ทั้งดวง
พร้อมช้ำทรวง ไม่ทวงถาม ความเข้าใจ....

นี่คือ..ลูกผู้หญิง หวานผ่าซีก หัวใจซื่อ
ไม่เคยถือ คำคน ให้หวั่นไหว
แค่ลมลม พัดผ่านมา ให้ผ่านไป
ขอแค่ใจ..เราตรงตรงคงมั่นเท่านั้นพอ!
*******



มาทางไหนไปทางนั้น..

อยากคืนหลังกาลเวลารักเราสอง 
ให้ไม่ต้องเสียใจฝันผวา 
อยากลบอดีตความทรงจำที่ผ่านมา 
อยากบอกว่า..มาทางไหน..ไปทางนั้น...  

อย่าเกาะเกี่ยวให้เปลี่ยวใจราวโลกร้าง 
ให้อ้างว้างเหว่ว้าทั้งเธอฉัน 
ให้โหยหาอ้อมอกอุ่นทุกคืนวัน 
ได้แต่ฝัน ฝันฝัน..ไม่มีจริง..  

มาทางไหนไปทางนั้นเถอะที่รัก 
ถึงใจภักดิ์รักเจียนตายสายทุกสิ่ง 
โลกโหดร้ายให้เรารักกันยิ่ง 
แล้วก็ทิ้งหาทางออกไม่พบเจอ...  

เพิ่งรู้ว่าโลกนี้เล่นตลก 
ราวกับนกปีกหักได้แต่เพ้อ 
อยากจะบินซบตักรักเพียงเธอ 
ใจก็เก้อจันทรก็พ้อโลกเงียบงัน!

				
7 กันยายน 2547 15:01 น.

ร่มไม้สายใจ!

พุด


Url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=287
(นัดพบ)
*********


ปริม..
กำลังนอนคลี่ยิ้มหวานหวานบนเรือนจำปี
เรือนรักเรือนใจ...
เรือนที่ปริมชอบมานอนอิ่มขวัญ..ลำพัง
ใต้ร่มไม้สายใจใต้ใบบัง
ใต้เขียวไพลเขียวพร่าง
เขียวสอ้านสะอาดพิลาสพิไล


เขียวที่สอดผสานกัน
ราวร่มพฤกษ์คันใหญ่
มาต่อสายใจมาเติมใยรัก
มาเติมไฟฝันนักรักรจนา 
มาฝากฟ้าฝากดิน ดูดาว
มาเหน็บหนาวดายเดียว
และ
มาชิดใกล้ธรรม ธรรมชาติ
มาฝากร่างให้เอนอิงพิงพัก



มากระซิบรักกับ
อ้อมกอดดวงดอกจำปี
อ้อมฝันที่เลื้อยพันมาเกาะเกี่ยว
ราวอ้อมแขนแน่นเหนียว
ปลุกปลอบใจให้มีพลัง...


กับทุกเช้าที่เฝ้าดู...
ตะวันดวงกลม

ในยามเช้า ที่เฝ้าเพ่งพินิจ 
ด้วยรักแสงตะวันจัดจ้า
และจะชอบทำทุกครา 
ยามบอบช้ำจากโลกและชีวิต 
ราวแสงมหัศจรรย์สามารถปลุกชีวิต 
ให้มีชีวาท้าทายโลกอีกสักหน สักครั้ง.... 


ทุกนาทีที่ตะวันเยือน แย้ม 
ค่อยๆโผล่พ้นทิวสน เบื้องหน้า 
ผ่านดงไม้ ขึ้นมาอย่างช้าช้า 
เคลียเคล้ากับแสงฟ้าสวยใส สดชื่น 
อ่อนหวานสว่างไสว..

ดวงตะวันสีส้มเปลือกบาง อ่อนอุ่น 
ดวงกลมสวยงามเจิดจรัส 
รัศมีจ้าจับตาเป็นยิ่งนัก.. 


พลังตะวัน กำลังรินไหล เข้าสู่ใจดวงกลม ดวงบอบช้ำ 
ดวงช่างฝันนี้ที่พยายาม มองฟ้าท้าตะวัน ปลุกไฟฝัน 
ปลุกหัวใจให้อย่าท้อ รอรับฝัน วันแสนดีให้คืนกลับ 

หยาดน้ำค้าง ละออ ตกต้องค้างงาม
ตามดอกใบ สวยใส บริสุทธิ์ 
เกิดประกายวับแวม 
ราวหยาดเพชรพราว รอระเหยหาย........ 


มวลหมู่นกกา เริ่มถลาบิน ออกจากรวงรัง
ทำหน้าที่ หาอาหาร ว่อนวน ..เคียงข้าง... 
เป็นฉากละคร..ของสัตว์โลกทุกชีวิตทุกปากท้อง..
ประจำวันซ้ำๆซากๆ
 เพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอด ปลอดภัย 


ได้มีใจดวงทั้งดีและร้ายมาหมุนวน
ตามโลกที่หมุนเวียน.ไปวันวันมิสิ้นสุด. 
ดอกเข็มขาว เริ่มแทงช่อ ออกจากกระเปาะเขียว 
เป็นพวงขาวระย้าเต็มต้น เต็มตื้นหัวใจดวงนี้ ที่ชอบเฝ้าดู.


.ตั้งใจคืนนี้จะน้อมนำไปบูชาพระ
และภาวนาขอให้มีสติปัญญาบริสุทธิ์แหลมคม
พ้นบ่วงกรรม ตามติดมาให้ชดใช้...... 

ขอให้มีสมองสองมือนี้ 
ได้เขียนสิ่งดีดี อันเป็นที่รัก 
ไว้พักใจ ยามดายเดียว ไปตราบนานเท่านาน 
ในจิตวิญญาณที่ยากที่ผู้ใด
จะเข้าใจและหยั่งถึงก้นบึ้งแห่งจิตใสงามนี้...
ที่บานสะพรั่งดั่งดวงดอกไม้ในราวไพร
บานท้าตะวันฉาย 


แม้บางครั้งจะโรยราร่วงหล่นปนเปื้อนดิน 
ก็จะผลิฝันหวานหวาน บานกลับมาใหม่ มิมีวันมอดสิ้น... 

ตะวันดวงกลม..หมุนวน ไม่เคยท้อแท้ มิรอรา 
รู้หน้าที่ เพื่อธำรงอยู่ ยังประโยชน์ให้มวลมนุษย์ 
ฉันท์ใดก็เฉกนั้น 


ขอให้ดวงใจ ดวงฝัน จงอิ่มเต็ม 
ด้วยความฝันสล้างสวยงาม 
ด้วยงามแห่งปัญญา สมบูรณ์ 
หมุนพาใจตนก้าวข้ามผ่านพ้น
เรื่องหมองหม่นทดลองใจให้ฝ่าฟัน 
เรื่องธรรมดาๆโลกที่มี โศกมากกว่าสุข
มาคลุกเคล้าให้เปรียบเทียบสอนใจ..


ในทุกโมงยาม..มิแน่มินอน.. 
ให้แสงตะวัน แรงกล้า 
นำพามนุษย์ทุกดวงใจ 
ทำหน้าที่งดงาม สู่เส้นทางชีวิตยาวไกลข้างหน้า 
รู้จักลืมตามองโลกให้เป็นเห็นงาม.
.และแบ่งปัน..ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ในวันนี้และวันหน้านะดวงใจ 
***************


เช้าหวังเช้าหวานก่อนอุษาสาง
ที่จะมีนกมากมายมาร้องเพลงธรรมชาติให้ฟัง
มี*นกเขาขันเสียงใสราวระฆังแก้ว*
แว่วหวานวิเวกมาปลุกราวนาฬิกาปลุก..ดั่ง*นกตะวัน*
ค่าที่มาพร้อมกันกับสายแสงแรก
สีทองอันอ่อนอุ่นโอบเอื้อ
ที่..
ปริมขอเรียกชื่อเพื่อรำลึกนึกถึงพี่ชายผู้แสนดี
ผู้ที่รักนกราวชีวิตจิตวิญญาณ
พอกันกับเจ้าของเรือนหอมหวานหอมงามแห่งนี้


และ
นกตัวนี้จะมาร้องขันคูคู่วิมานไพรวิมานดินทุกวันค่ะ 
ราวดงดอกดวงจำปีล้ำค่าเตือนสอนใจ
ให้มั่นคงให้ตรงมั่นราวนกตะวันรักท้องฟ้า
ราวปลารักน้ำ ไฉนฉะนั้นเลย..


และ
ทุกเช้าที่เจ้าของเรือนรักหนักแน่นใจ
จะมิเคยลืมที่จะส่งจูบส่งใจข้ามขอบฟ้า
มหาสมุทร ผืนแผ่นดิน ทุ่งนา ป่าเขาลำเนาไพรแมกไม้
สายชลระรินไหลให้กระซิบรักถึงทุกดวงใจ
ในร่มรักเรือนไทยเรือนทองแห่งผองเรา


ปริม..
ขอส่งกมลอันปรารถนาดี
ประดุจดังดอกไม้แรกแย้มในยามดึก 
ที่ค่อยค่อยคลี่แย้มเกสร
ออกรับผลึกเพชรเกล็ดแก้วหยาดละออละอองน้ำค้าง
ที่พรายพร่างพฤกษ์ ราวกันจะดื่มกินได้

ให้สายแสงแดดสีทองส่องผ่านมา
ในยามอุษาสางอุษาแก้ว
ยามฟ้าผ่องแผ้วรำไรรำไรราวรัศมีรุ้ง
กระจายพรายแพร้วเพริศเฉิดฉาย
พร่างพรรณรายทุกถิ่นที่


ฝาก
กมลดวงดีดวงหวานหอม
ราวหยาดน้ำผึ้งฝันพระจันทร์หวานในยามราตรี

หวังให้น้องพี่ 
ที่มีหัวใจดวงทองผ่องผุดพิสุทธิ์ละมุน
ได้มีใจดวงงามหอมกรุ่น
ได้รจนาภาษารักภาษากวีภาษาดีดีงามๆ
ฝากพลีบรรณาการแด่โลก  ดับร้อนผ่อนเพลา

ให้เย็นฉ่ำราวน้ำคำคือน้ำค้าง
รินนะกลางใจ..ไม่มีวันแห้งเหือดหาย
วอนให้ใช้ปลายปากกา
ราวมาจากปัญญาจิตมิมุ่งคิดร้ายผู้ใด
มีใจดวงเที่ยงธรรม 
มีฝันมีรักมีร่มธรรม
อันคือเครื่องคุ้มกันภัยกันใจไปตราบชั่วกาล
มีเมตตา  



และหวังว่า
ทุกดวงใจจะพบงามทองในหอมห้วงแห่งดวงใจ
มีงามแท้งามธรรมงามขวัญอันแสนยิ่งใหญ่
มาประดับใจประดับหล้าประดับนภากวี
ที่ยังมีที่ว่างอนันต์


รอผู้กล้าผู้ฝันใฝ่
พาดวงใจราวรวงดาว
มาเรียงพราวเฉิดฉายแสงพร่างสุกใสสว่าง
มานำทางใจแด่ผองชนนะคะ

ขอให้เป็นเฉกเช่นดวงดอกไม้หวานตระการ
จะบานประดับหล้าอยู่นะที่ไหน


ในราวป่า..ในราวไพร ..ในราวเมือง 
ขอแค่ให้สร้างประเทืองประทับใจ
ด้วยหยาดน้ำใจที่ใสเย็นดั่งหยาดฝนหยาดน้ำค้าง
เข้าใจ
และคอยเมตตาเคียงข้างเสมอไป
ในทุกผุ้คนที่ยังค้นหาตัวเองไม่พบเจอ
ยังลอยเก้อกลางทะเลโลกย์ทะเลโศกสุข

ใช้กุญแจจิตกุญแจธรรมกุญแจธรรมชาติ
กุญแจวาดหวังดีมีน้ำใจรักอันใสฉ่ำเย็น


มา
เปิดบานประตูหัวใจ
ค่อยๆช่วยเก็บกวาดห้องห้วงใจให้สะอาด
หยิบขยะวัตถุมากมีมากมาย
ค่อยๆกวาดให้ออกไปไม่รกรัดรึงรุงรัง


อันจะพาให้จิตเดิมใสนั้น
ถูกห่อหุ้มด้วยกิเลสใจ
แห่งความอยากได้ใคร่มีจนเคยชิน
มิรู้สิ้นรู้จบตามกระแสโลกย์
ที่
สอนให้ยึดมั่นถือมั่น
ว่าความสุขนั้นมาจากภายนอกหลอกไปวันวัน
จนใจกายนั้นหนักดั่งศิลา
เพราะต้องพาให้ค้นหามาเติมเต็ม
เค้นเฟ้นหาจนพาเครียดเฉียดตายจึงได้สำนึกระสึกรู้
ว่าแม้นแต่ตัวกูมิใช่ของกู..


ให้มีสติมีสมาธิมีปัญญา
อย่าให้ใจมา
คอยปิดบังจิต
และคอยเป็นนาย
มิให้จิตเดิมที่งามใสได้คลี่ฉายแสงเบาสบาย
ว่างพรายไร้ร้างพร่างคล้ายแก้วประภัสสร
ได้ส่องประกายกล้า
พาให้มืดมัวในใจมลายหายวับ
ดับทุกทุกข์ได้..ก่อนสายเกิน..
และนาทีนี้นะคนดี ดวงใจ


ปริม...
ขอมอบดอกไม้จริงดอกไม้จิต ดอกไม้ชีวิต
รักธรรม ธรรมชาติ  มาวางฝากไว้ในอ้อมตัก อ้อมใจ
แด่มิ่งมิตรสนิทเนา


จงเปิดใจรับเอาดอกไม้เพชรพร่าง
ที่จะพรายพร่าง
ดั่งแสงแก้ววะวาววับดับทุกสรรพสิ่ง
จากขุมทรัพย์ภายในอนันตกาล 
ที่จะบานรอ ผู้รู้ ผู้มีศีลสะอาด
เพียงเพียรพร้อมน้อมพลีภาวนา 


และค้นหาดอกไม้จิตนิมิตจริงแท้ที่งามแน่นอน
กว่า...ทุกดวงดอกรักดอกทุกข์ใด  ในโลกหล้าค่ะ
ขออวยพร
ให้ทุกดวงใจใสทอง
ประคองตนพาพ้นน้ำ
ดั่งดอกบัวบานรับแสงอรุณธรรมนะคะทุกคนดี.. สวัสดี

************


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=287
นัดพบ   
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี : : Key A  
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวันลับไม้
ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไป สิจงฟัง
ฟัง สิฟัง สัก นิด
แล้วอย่าคิดว่าฉันสอน ว่าฉันสั่ง
ฟังสิฟัง ฟังกันเล่นเพลินเพลิน
แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญ ลองจำ
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวัน พลบค่ำ
ธรรมชาติชุ่มฉ่ำ ฉ่ำชื้น ชื่น ใจ
ใต้ ร่มไม้ใบบางบาง แสงสว่างรำไรรำไร
ไม่ต้องระวังไม่ต้องระไว
จะอายทำไมกับพระจันทร์
ถ้าเราจะนัด พบ กัน
ควรให้จันทร์ เห็น ใจ
ลมอ่อนอ่อนพัด ผ่าน
ชูกิ่งก้านช่อใบ
บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว
บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว
สะบัดใบไปตามลม
ผสมน้ำค้าง พร่าง พรม
เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม
ต่างคลอต่างคล้อต่างล่ออารมณ์ เรา
ให้ชมให้ชื่น ใจ
นี่แหละถิ่นนัดพบ
แต่เราไม่พบกับใคร
เพียงแต่พบกับธรรมชาติ
แล้วเราก็อาจจะสุขใจ
ไม่ต้องไปพบ กับใคร ที่ไหน
เพลินใจ เพลิน ตา...

 
  


				
6 กันยายน 2547 15:45 น.

สวนผีเสื้อเรือใบไม้

พุด


Urlhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6196
สวนผีเสื้อในใจกระพือไหว
พาเรือใบไม้พายพาพบ
สู่ฝั่งฝันมหานทีอันแสนยิ่งใหญ่กว้างใหญ่นิ่งเงียบสงบงันสงบงาม
**********


ใกล้ค่ำ..ตะวันโพล้เพล้
ปริม..นอนดายเดียวเหว่ว้า
สยายผมดอมดมดวงดอกไม้ไทยหอมหอม
ที่กำลังเผยอแย้มพร่างกลิ่นระรินสาย
มากับสายลมอ่อนอ่อนในยามค่ำ..


บนเตียงโบราณมุ้งหมอนสีขาว
และกับม่านลายลูกไม้พรายพลิ้วปลิวพะเยิบพะยาบระบัดลม
ผสานผสมพรมพร่างผ่านดงดวงดอกแก้วดงดอกจำปี
การะเวกที่กำลังคลี่ดวงดอกหวานหอม
นะภายใต้ร่มไม้ชายคาแห่งรัก..


ท่ามกลางแสงเทียนในโคมแก้ว..วะวูบไหว..ช่วงโชนแสง
พาแสงใจไฟรักรจนาภายในใจดวงน้อยดวงนี้
ให้ยิ่งละไมละมุน
มองโลกหอมกรุ่นหอมหวานสดชื่นระรื่นระร่ำรส
หมดจดใจเสียไม่มี


บทกวีซีไรท์กางไว้บนอกใจ
ที่ไหวกระเพื่อมอย่างช้าๆ...
กับการกำหนดนับลมหายใจ
ราวมีเลื่อมพรายเพชรพรรณรายฉาดฉายแสง
อันแรงกล้ามาประดับจิตประดับใจ
ให้ใสงามเงียบสงบงันหากสว่างไสว
และช่างอนันต์ค่าล้ำภายในใจดวงงามดวงนี้


ที่กำลังปล่อยภวังค์ว่าง
ฝึกความนิ่งความว่าง
ปล่อยวางความคิดที่มากระทบผัสสะจากทุกสรรพสิ่ง
วางไว้นะภายนอก
ให้แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่วางไว้ในจิตในใจนาน
มิให้พานพามากระทบบ้านภายใน ที่แสนเย็นใสสงบสุข..


มากมายหนังสือวางไว้เคียงใกล้หมอน
ทั้งบทกลอนเขียนค้าง 
กำลังอ่านแบบวางไม่ลง
*7เดือนบรรลุธรรม*ของดังตฤณ


และ
*เหนือห้วงมหรรณพ*
หลายทบทวนทวี
ฝึกสร้างพลังใจ
เพียรสร้างงามใจฝักใฝ่มิระย่อ
มิไหวหวั่นกับคำคนคำใคร


เพราะ
ทั้งความสุขความเศร้าหรือดายเดียวนั้น
ก็แค่คลุกกันมาเป็นอารมณ์ผ่าน
มาทดสอบใจมานำทางใจ
มาสอนใจมาเป็นบทเรียนใจ
ราวมาร..อารมณ์ให้รู้ข่มรู้รำงับดับทัน
เพื่อให้เนื้อใจคนละมุนนั้น


ระลึกรู้ใช่กู่ไม่กลับ
ขอเพียงเรามีใจดวงงามระยับราวเพชรพร่าง
จะพบการรู้วางว่างมีอุเบกขา
ให้เนื้อใจมากมีเมตตากรุ่นหอม
ดั่งมีหยาดละอองน้ำทิพย์มาพร่างพรม
ห่มหอมให้ชุ่มชื่นฉ่ำเย็น..


และ
เฝ้าระวังเพียงใจตนเพียงนั้นกันไว้ให้ดีดี
เฝ้าหักห้ามรำงับรู้ดับพลีใจตนให้พ้นภัย 
ก็เพียงพอก็พอดีก็พอใจ
ไม่ทำร้ายใครด้วยกายวาจาใจในโลกอันวายวุ่น
ฝึกการให้ฝึกการเสียสละ
ฝึกการละละเลิกการยึดมั่นถื่อมั่น


และ
จะนานสักกี่ชาติกี่ภพ
ก็ขอเกิดมากับเนื้อใจละมุนแบบนี้
ที่ยอมมีความเศร้า
ดีกว่ามีใจดวงหยาบกร้านมากร้ายมากรายกล้ำ
แม้บางครั้งอาจจะต้องยอมแลกปันความทุกข์ตรม
ก่อนจะค้นพบสุขนิรันดร์
ซึ่งปุถุชนนั้นยังต้องชดใช้
หากยินดี..
หากยังมีวิบากกรรมเก่าตามติด..ไม่ฝืนลิขิตฟ้าดินเลย



พุดสามสี
ที่นำมาจากงานปาร์ตี้บ้านเพื่อน
ยังห่มหอมในหอมห้วงห้องขวัญปันรัก
ที่ยังมีธรรมะธรรมชาติดาระดาดเคียงกายใกล้เรือนใจ
ใต้วิมานดินวิมานไพรใต้ร่มไม้ชายคาแห่งรัก
ให้เด็ดดมชมชื่นระรื่นฝัน


พร้อมกับเสียงเพลงบรรเลงเศร้าหากบรรเจิดจิต
บทเพลง*เนรัญชรา*
ที่หยาดรื้นรดรินห่มถวิลหอมให้ใจดวงทองดวงใส
ยิ่งงามผ่องผุดพิสุทธิล้ำ 
แสนซาบซึ้งกำซาบใจดวงรักรจนา  
ที่ท่วมท้นท้นท่วมด้วยความประทับใจ..ในทุกครา


และ
ราวนกไพร...นกในใจ..สวนผีเสื้อในใจ
กำลังกระพือปีก...พร้อมผกโผผิน
บินไปกับฟากฟ้ากว้างกระจ่างใส
ไปคว้าฝัน ค้นหาอิสรา
จากป่าใหญ่ไพรกว้างทางเถื่อนเดือนแดนดาวพราวดอกไม้ป่า
ที่กำลังคลี่แย้มแต้มละอองเกสรหวานบานทั่วทั้งราวไพร
พร่างสีพร่างกลิ่นละมุนมิสิ้น
หวังอ้อนโอบเอื้อหล้า
ประดับฟ้าพสุธาไทยให้ร่มเย็นเป็นสุขนิรันดร์



พาปีกแห่งฝันผ่านพ้นเหนือคนเหนือโลกโศกสุขสิ้น
ถวิลหวังขึ้นไปไกวเปลเมฆ พบวิเวกหวาน
หว่านรวงดาวปรายโปรยโรยร่วง
ลงประดับดวงใจประดับจิตวิญญาณ 
ให้งามพราวสู่ผองชน
ดั่งหยาดฝนเพชร...
แตกเม็ด  แตกดอกดวง.. รัศมีกระจาย
พรายพร่างนะกลางจิตกลางชีวิต..อย่างไร้รูป..ไร้รอย
มีเพียงแสงสว่างพรายพร้อยราวประกายแก้ววะแวววับ
ราวอัญมณีรุ้งพุ่งแลบแวบวะวับชั่วขณะ
พาพบความว่างอันอนันตกาล
ที่ไม่มีใครจะชิงช่วง..




มิต้องหวงห่วง ทวงถามหาสุขเพิ่ม มาเติมต่อ
รู้พอ  รู้ให้  รู้ว่า  ทุกสรรพสิ่งนี้  
เพียงมาชดใช้..
ใช้ร่าง
มาฝากดีมาสมาธิมาภาวนา
มาพลีพบพระพุทธศาสนา
มาเฝ้าฝึกจิต 

มาหยุดคิด..ค้นหาความสุขเพียงเปลือกนอกหลอกใจไปวันวัน


มาเลือกจะดับหรือจะเดินเพลินในลุ่มรักลุ่มหลง
มาตระหนักถึงความเป็นศิลาของความบ้าใบ้มืดบอด
มาต่อยอดดวงจิตให้สิ้นสุดหยุดคิดปรุงปรน
มิวนว่ายใช้กรรม
หากหวังเพียรพอก่อกุศลถึง


เพียงเพียรพยายาม
ทิ้งอัตตาและฝึกการวางเฉยนิ่ง..
ไม่ไหวติง
แม้แต่มีเงาความคิดทาบลงมาบนพื้นจิต
ก็จะรู้โดยไม่หลงสำคัญผิด ไม่หลงเต็มใจยินดี
จะมาดีมาร้าย
จะมิให้เงาดังกล่าวอาศัยอยู่เพื่อความเจริญขึ้น
ของอุปาทานว่า*เป็นตัวเรา**ของเรา*


ไม่คาดหวังจิต 
ไม่ยึดติดให้โขดหิน ฟ้าคราม หาดขาว 
ดาวสวย   ทะเล  แสงแดด
และระลอกคลื่นลมทั้งหลายกลายเป็นอื่น
นอกจาก
แค่นั่งมองธรรมชาติภายนอกภายใน
แบบที่กำลังมีกำลังเป็น


และ
แค่นี้
ก็แค่ผล จากความเป็นคนปกติมีสติ
ที่ข้องเกี่ยวกับธรรมชาติชีวิตจริงแสนจริงอันยิ่งใหญ่
ที่สอนใจเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 

ให้เราค้นหาความสุขนิรันดร์จากขุมทรัพย์ภายในจิตเราเอง
แค่เพียงเปิดใจตัวเองสอนสั่ง 
แค่ฟังแล้วหยุดเติมต่อ  รู้วาง  มิติดมิคิดตาม
และนั่นคือธรรม
ใช่ต้องค้นหาสวรรค์
วิมานนิพพานที่ไหนเลยนะทุกคนดี


อย่าเบื่อ ปริมเลยนะ
ที่หัวใจดวงละมุนของปริมอดเศร้าไม่ได้ในวันนี้
และ
อย่าคิดว่า
ความเศร้าร้ายกาจ
หากมาตามความจริงของอารมณ์จริงแท้
ก็ขอแค่ให้ผ่านมาผ่านไปไม่กักเก็บเกี่ยวใจเอาไว้นาน


และ
ใช่จะเพียงแค่เอามาเรียกร้องความสงสารจากใคร
เพราะว่า
วันนี้
ปริมพยายามดูทีวี...แบบในรอบปีนานๆครั้งสักหน
เพราะได้ฟังข่าว
เรื่องนักเรียนตัวประกันในรัสเซียเสียชีวิต
และคิดว่าโลกนี้ช่างไม่มีอะไรแน่นอน
มีหลายฉากตอนผู้คน

ที่โลกใบกลมหมุนวนมาสอนสัจจะ
ให้หวนคิดถึงชีวีชีวิต
ที่ไม่มีสักนิดจะแน่จะนอน
มีทั้งเศร้าสุข ร้าวรอน
โศกนาฎกรรมไปทั้งโลก
ให้คนบนผืนโลกพบโศกห่างสุข
และทุกทุกข์การเรียนรู้ทุกรสชาติ


สำหรับเราชาวพุทธ
จงฉลาดเลือกว่าจะหันหน้าไปเดินทางสายใด
ที่จะพาให้หัวใจและโลกหล้าสงบเย็น
ให้จิตวิญญาณเร้นหลุดพ้น
มิอยากทั้งทุกข์สุข
รู้หยุด รู้ให้ รู้เสียสละ รู้ปันแบ่งก่อนสายเกิน


เพราะเรานั้น
มีพระบรมศาสดาเพียรพาพ้นทาง
สู่แสงสว่างเย็นแล้ว
อันจะเป็น
*ดั่งแสงแห่งความเป็นแก้วกระจ่างว่างนิรันดร์*
ห่างจากความเวียนว่ายชดใช้กรรมวน
ที่แสนจะน่าเบื่อเหลือระอา


ราวมหาสมุทรมหานที
ที่รอหยาดน้ำใสจากลำธารใจทุกดวงที่ใสว่าง
พร่างรวมลงแบบไม่รู้สิ้นรู้จบทบเท่าไม่รู้นับ 
จนกว่าจะดับทุกข์ร้อนได้

ให้โลกนี้
มีแต่เรือธรรม...ธรรมชาติ
ขนพาผู้คนให้ข้ามพ้นจากทะเลโลกย์ทะเลไฟ..


น้อมนำใจฝึกมีศีลสะอาด
วาดพายพาพบพระพุทธศาสนา
และใช้ประดุจดั่งหางเสือนำนาวาอันแกร่งกล้า
พาพบจิตอันพร่างใสสู่ฝั่งฝัน..ตราบชั่วนิจนิรันดร์กาล..
*********


กลับไปสู่วัยเยาว์ กวีนิพนธ์ชุด*แม่น้ำรำลึก*
ของคุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์กวีวีไรท์2547
บท*นก*
ปวงช่อพอรวงร่วงลง               ดินดาวพราวดง
หนึ่งดาวจับจงตรงใจ
หนึ่งดอกเบิกบานด้านใน        ละมุนละไม
มโนดอกไม้ละเมอ
เกี่ยวโยงฉันไว้ในเธอ             สมัยเสมอ
ปรนเปรอดินมวลสวนมนุษย์
น้ำตาแตกผลิพิสุทธิ์                 หยาดย้อมมิหยุด
ปวงบุตรธิดาลาไกล
ไปยังดินแดนใดใด                 เป่าเพลงใบไม้
เพลงตามกล่อมใกล้นิทรา
เพลงโบกผ้าอ้อมสีฟ้า                น้ำนมมารดา
เปลผ้ายังไกวใจเรา
พี้นเรือนเหมือนครางเบาเบา    อุ่นไฟในเตา
ดุเหว่ารำพึงถึงตะวัน
ยังสวนผู้ใดใจสรร                     แต้มสีแสงจันทร์
เติมฝันเต็มสรวงรวงดาว
สายลมคืนนี้สีขาว                       สายน้ำสีพราว
ใครหนอเหน็บหนาวดาวนึก
ใครผู้เปรียบตนคนเรือ              แรมร้างไปเพื่อ
เสาะสวนผืเสื้อในตน
ใจใครพ่ายพับอับจน                   นกในใจดล
มิเคยยลแสงตะวัน
ใช่ไหมใจเราเท่านั้น                   ใจเธอใจฉัน
ใจเราปิดกั้นพันธนา
อรุณรุ่งแล้วภราดา                        ฉันปีนขึ้นฟ้า
เพื่อมองลงมายังดิน  
วาดแขนราวนกผกผิน                  นกในใจจินต์
กู่ร้องเพรียกถิ่นเกิดกาย
หน้าต่างบานสุดท้าย                      เด็กหญิงเด็กชาย  
กู้ร้องคลับคล้ายเสียงนก
                             .......................

ด้วยคารวะจากใจถึงใจ...ถึงกวีในดวงใจ
จากพุดพัดชา..นักอยากจะเขียนเพียรฝันปันแบ่งใจค่ะ     
********       


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6196

รัก.....   เพลงพระราชนิพนธ์ : : Key Eb  

รักทะเล
อันกว้าง ใหญ่ไพศาล
รักท้องฟ้า โอฬาร สีสดใส
รักท้องทุ่ง ท้องนา ดั่งดวงใจ
รักป่าเขา ลำเนาไพร แสนสุนทร
รักพฤกษา รุกขชาติ ที่ดาษป่า
รักปักษา ร้องกู่ บนสิงขร
รักอุทัย สว่าง กลางอัมพร
รักทั้ง รัตติกร ในนภดล
รักดารา ส่องแสง สุกสว่าง
รักน้ำค้าง อย่างมณี มีโภคผล
รักทั้งหมด ทั้งสิ้น ที่ได้ยล
รักนวลนาง รักจน หมดสิ้นใจ

รักพฤกษา
รุกขชาติ ที่ดาษป่า
รักปักษา ร้องกู่ บนสิงขร
รักอุทัย สว่าง กลางอัมพร
รักทั้ง รัตติกร ในนภดล
รักดารา ส่องแสง สุกสว่าง
รักน้ำค้าง อย่างมณี มีโภคผล
รักทั้งหมด ทั้งสิ้น ที่ได้ยล
รักนวลนาง รักจน หมดสิ้นใจ...

 



				
5 กันยายน 2547 00:37 น.

ในฝัน!

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=200
(ในฝัน)
url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=14
(คนเดียวในดวงใจในฝัน..เหนือโลกเหนือโศกสุข
เหนือห้วงมหรรณพ..ประดุจพบรักในร่มธรรมชั่วนิจนิรันดร)
*****************


ตะวันใกล้ลาลับฟ้าแล้ว
ซ่อนตัวรำไรอยู่ในม่านเมฆ
รอเวลาจะโรยตัวลงสู่ผืนน้ำ..

เจดีย์เก่าคร่ำ..ระดะยอด
เรียงรายลดหลั่น..ริมฝั่งฝันเจ้าพระยา


นกกาพากันโผผินบินกลับรัง
แสงสีทอง..ส่องตกต้องผืนน้ำ
เกิดประกายราวเกร็ดเพชร

ผม...นั่งอยู่ใต้ร่มสาละต้นใหญ่ 
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
ที่ชาวพุทธคงจดจำได้ดีมิมีวันลืม
ต้นไม้นะกลางห้วงหฤทัยนะกลางดวงใจ..


ต้นไม้
ที่แสนยิ่งใหญ่ในใจชาวโลกและพุทธศาสนิกชน
ณ.ใต้ต้นสาละ 
เขตตำบลลุมพินีสถานและ
กึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหนคร
เป็นที่ประสูติของพระบรมศาสดาเอกของเราชาวพุทธ


และ
อีกบทตอนที่ชาวพุทธคงจดจำ
ระหว่างที่พระพุทธองค์เสด็จไปยังเมืองกุสินารา
ของมัลละกษัตริย์ ได้ประทับในบริเวณสาลวโณทยาน
ภายใต้ร่มสาละคู่หนึ่ง
 ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมาก
จึงบรรทมเอนพระวรกายลง
หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ 
แล้วเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานภายใต้ต้นสาละนั่นเอง
********


ยามนี้
หัวใจผมจึงรอนรอนราวจะร่ำไห้ตามลำแสงสนธยา
เมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนอ่อนของดอกสาละ
ที่กำลังเผยอแย้ม
คลี่กลีบดอกสีชมพูเข้มอมเหลืองทอง
ละออละอองบานสะพรั่ง
แตะแต้มเต็มตามโคนต้น..นับร้อยดอกทีเดียว
ส่งกลิ่นหอมไกลไปทั่วคุ้งน้ำในยามนี้


และกับแสงสุริยาใกล้ลาลับฟ้านั้น 
ผมหันไปเห็น  ผู้หญิงคนหนึ่ง
เพียงเรียวหน้าละมุนด้านข้าง
ที่ดูเศร้าล้ำราวรูปปั้น
ในไรแสงรำไรๆที่ค่อยๆคลี่กระจายรัศมี
ขับวงหน้านวลใส
ให้เกิดแสงเงาดูผ่องผุดพิสุทธิ์งามในยามย่ำสนธยา..


ผม..เห็นเธอนั่งทอดตาเงียบๆดูสายน้ำ
ภายใต้ต้นพิกุลดอกพราว
ที่นะบัดนี้
สายลมแห่งวสันตฤดูพัดกราว
พาให้ดวงดอกเล็กๆค่อยๆปลิดปลิวควะคว้าง
ร่วงหล่นลงมาประดับเรือนผมประปราย
งามคล้ายประดับประดาด้วยดวงดอกไม้ลายสลักเสลาสีทอง
**********


ผม...พาตัวเองปลีกวิเวก  
ขับรถมาถึงนี่เมืองเล็กๆแห่งนี้....เมืองริมน้ำ
เมืองที่มีพระนอนจักร์สีห์
วีรชนบ้านบางระจัน
เตาเผาแม่น้ำน้อย
กินปลาแม่ลาอร่อย...
กุ้งแม่น้ำแสนเลิศล้ำ


แต่สำหรับผม
มิได้ตั้งใจมากินของอร่อยลิ้น
ผมเพียงถวิลหวัง...
จะหนีความวายวุ่นวุ่นวายมิรู้สิ้นรู้จบ
ภายในเมืองหลวง 
ที่ผมยังต้องลวงตัวเองไปวันวันว่า..
ยังแสนน่าอยู่
ยังแสนดี
ยังมีงานให้ทำ
และที่
ยังมีฝันให้ตาม
มีทุกโมงยามให้ผู้คนมิเคยหลับใหล 
ต่างพากันตีนถีบปากกัด
มามีมาทำกันสารพัดสารเพอาชีพ 
ที่พอจะประทังชีพชอบและมิชอบ



ประกอบกรรมต่างๆกันไป 
จนกว่าใครจะคิดเบื่อเหลือจะทน
หอบหิ้วเสื้อผ้ายัดใส่ประเป๋า...
เลิกคนค้นคน
เลิกหวังมาคว้าดาวกลับไปคว้าดินแทนดีกว่า

สำหรับผม
วันนี้..วันสุดสัปดาห์กับพาหนะคู่ชีพคู่ใจ
ทำให้ผมปลีกเวลา
หวังเพียงจะใช้ชีวิตวันหยุดให้คุ้มค่า
ปลีกร่างจากหน้าที่การงาน
อันรัดรึง


หวังมาพึ่งผ่อนกายพักใจ 
และที่สำคัญกว่าสิ่งใดคือ
ผม..
กำลังฝักใฝ่ที่จะฝึกสมาธิ 
ผม..พยายามจะหาที่สงบสงัด....วัดวาโบราณเก่าคร่ำ
มาน้อมนำสติเดินจงกรม 
กับหาที่เหมาะสมด้วยธรรมชาติเงียบงามเพื่อนั่งทำสมาธิ


ซึ่งอันที่จริง
ที่ไหนๆก็นั่งได้ทั้งนั้น
หากเพียงบางครั้ง ความเป็นเมือง
และผู้คนรายรอบมากมี
ทำให้เรานี้ราวถูกขังกรง 


ผมเลยลองพยายามสร้างบรรยากาศ
ให้ห่างการถูกรบกวนให้เหลือน้อยที่สุด
ให้สิ่งที่ยั่วยวนทางโลกย์น้อยลง..น้อยลง
มิมืดบอดพาหลงตาม
ผม...อยากพบความเงียบงาม
ที่ไม่ไกลเมืองหลวงสักเท่าใดนัก
ตั้งใจจะพักจนถึงเช้าวันทำงาน


ผม..จึงขับรถมาเรื่อยๆ
จนถึงเมืองเล็กๆเมืองนี้
ที่อยู่ริมน้ำเจ้าพระยา
เมืองแห่งอู่ข้าวอู่น้ำของผองชนคนของแผ่นดินไทยอันอุดม
จนได้รับสมญานามว่า*ดินแดนแห่งแม่น้ำสามสาย*
แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำน้อย
ที่กระจายกระจัดกันไป
ให้ชาวนามีวิธีการปลูกข้าวจากซัง
ที่แปลกกว่าที่อื่นๆ


ผม..เลือกโฮมสเตย์ติดริมแม่น้ำ
เป็นมากกว่าบ้านพักราคาพอดี
ค่าที่งามง่ายให้งาม
ให้นักท่องเที่ยวได้เกี่ยวเก็บประสบการณ์
แบบไม่ขูดรีด 
แถมยังมีบรรยากาศของความเป็นบ้าน
มีอาหารสามมื้อแถมอีกต่างหาก


บ้านหลังนี้ดูดีดีมิใช่บ้าน
หากเป็นเรือนไทยภาคกลาง
เรือนไม้โบราณ
ที่ผม..แอบขนานนามให้ว่า*เรือนขวัญปันหอม*


เพราะ
รายรอบเรือนไม้ที่มีเชิงชายลายฉลุอ่อนช้อยนี้นั้น
เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ไทยๆสะพรั่งพรึบ
ที่..
ผม...รู้สึกราวได้กลับเรือนเก่า
มาย้อนยุคสมัยอยุธยาก็มิปาน
ค่า..ที่มีกลิ่นอายอดีตอันหอมหวาน
กล่อมใจหลอมละลายใจ
ให้อยากพักที่นี่ไปชั่วนิจนิรันดร์
ให้คืนขวัญกลับมาเป็นคนในอดีตกาล

ที่คงมีชีวิตเงียบงาม
มิต้องวายวุ่นอยู่แต่ในเมืองอันมากมาย
ผู้คนอลหม่านปานผึ้งแตกรวงแทบทุกวันทั้งยามเช้าเย็น


และ
ที่ผมแสนประทับใจเพราะเรือนโถงโล่งสะอาด
ที่สร้างเคียงไปกับลำน้ำน้อยนั้น
มีเฟอร์นิเจอร์ประดับ
เพียงตั่งเตี้ยๆ..
ที่นะบัดนี้มีดวงดอกไม้หลากสีในขันเงินงามลายกนกประดับ
มีหมอนขวานวางไว้บนเสื่อกกธรรมชาติ
ให้เอนอิงดูสายน้ำค่อยๆระรินไหลในยามเช้าค่ำ
ดูเรือพายขายของจากชาวนาชาวสวนค่อยๆ
ลอยลำไปกลางสายชลอันแสนฉ่ำเย็น..ใจ


ไปกับวิถีไทยวิถีงาม
ตามความสมถะพอเพียงเพียงพอ
เป็นที่ให้แขกมานั่งพักตาพักใจชมวิว
และ
หัวใจผมแทบปลิดปลิวตาม
เพราะ
ชีวิตผมก็มีบ้านงามในยามเยาว์แบบนี้
แม้นจะมิมีลำน้ำอย่างที่นี่
แต่ก็มีความงามเรียบง่ายพอกัน
ผมจึงมีอันตะลึงตะไลติดตรึงใจตั้งแต่นาทีแรกที่เห็น
และพลันคิดถึงบทกวีนิพนธ์อันแสนซึ้งใจของ


*คุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์...กวีซีไรท์2547*
กับอีกบทหนึ่งที่งามนัก
ที่กล่าวถึง
*ดาวประจำเมือง*อันแสนเรืองรุ่ง

ทำให้คิดถึงแม่ผู้เป็นที่รัก
และเรือนที่พำนักอันเป็นประดุจร่มเงาในอดีต
ที่ราวถอดใจผมรจนาเลยทีเดียว..ว่าไว้ดั่งนี้


*ดาวประจำเมือง*

เฝ้ามองดาวดวงหนึ่งคิดถึงแม่
เจ้าลูกชายขึ้แยลูกแหง่เอ๋ย
เจ้าก็รู้เยาว์วัยได้ล่วงเลย
แต่ดาวเอยล่วงลับจะกลับมา

พร้อมสายน้ำข้างในไหลย้อนคืน
ร่ำกระซิกสะอื้นกับผืนหล้า
เรือนไม้ในความหลังโพ้นฝั่งฟ้า
แนวแถวรั้วชบาด้านหน้าเรือน

ที่ใครตื่นก่อนใครไปทุกเช้า
ในครัวไฟในเตารูปเงาเคลื่อน
ขอบฟ้ายังแต้มวาวของดาวเดือน
ไก่กระชั้นขันเตือนเหมือนทุกเช้า

พายุฝนพ้นผ่านบนลานดิน
เอ้อระเหยเคยชินกับกลิ่นเก่า
กลิ่นผ้าผวยไอดินกลิ่นไฟเตา
มะม่วงหล่นเรียกเร้าให้เจ้าลุก

ยังเย็นชื้นชื่นหยาดดินหมาดนุ่ม
ยังหวานชุ่มชิงช่วงมะม่วงสุก
แม้จะแตกจะร้าวดินเคล้าคลุก
พายุฝนใครทุกข์เจ้าสุขแท้


ใครหนอใครเดียวดายในค่ำคืน
แผ่นดินอื่นร้างทิศคิดถึงแม่
ในครัวของทุกวันไม่ผันแปร
รูปเงาแรทอดเคียงเพียงลำพัง

จึงมื้อข้าวคนเดียวโดดเดี่ยวนัก
เมื่อสิ้นใครในรักมาเคียงนั่ง
เฝ้าโบกพัดไล่ยุงมิหยุดยั้ง
จึงคนหุงกินหลังทุกครั้งไป

เฝ้าเลือกแกะปลาปรนจนไร้ก้าง
ทั้งเนื้อพุงมุ่งวางเอาไว้ให้
จึงคำข้าวแข็งขืนเกินฝืนใจ
เหมือนก้างใหญ่ทิ่มตำขวางลำคอ

รอบกองไฟใครฝันใครปันไฟ
ราตรีหอมเกินไปใช่ไหมหนอ
ใครร้องเพลงจึงใครได้ร้องคลอ
ใคร้องไห้ใครต่อหนอน้ำตา

ดั่งได้คว้างว้างไหวในโลกลึก
ในคืนดึกหลับไหลของไพรป่า
ใครต่อใครแจ่มชัดปรัชญา 
แต่มิช้ากลับไปข้างในตน

ย้อนรอยเท้าเยาว์วัยได้โบกบิน
นั้นลานดินบ้านป่าพายุฝน
บ้านมีใครในรักไว้สักคน
แม้ใครนั้นเฝ้าบ่นแต่ล้นรัก

ใครในรักของใครแม้ไม่เหมือน
แต่ใครนั้นไม่เลือนเหมือนหนุนตัก
ฟังนิทานเพลงกล่อมไปพร้อมพรัก
ดาวดวงหนึ่งจำหลักดาวดวงนี้

ดาวที่เปล่งประกายในดวงตา
ให้ใครเฝ้ามองหาในวิถี
จึงใครมีดาวใครในราตรี
และเจ้ามีดาวนำประจำใจ
*****


บทกวีบทนี้ราวกับชีวีชีวิตผมเลยทีเดียว
ที่อ่านกี่เที่ยวๆ
ผมก็อยากสะอื้นฮักๆ
แบบไม่อายใครไม่อายฟ้าดิน
ไม่ถวิลว่า..
จำจะต้องเป็นลูกผู้ชายที่*ร้องไห้ไม่เป็น*

ใครกันนะช่างว่าไว้..ช่างไม่เข้าใจเอาเสียเลย
ว่า..ลูกผู้ชายไม่ใช่คนหรือไง
ไม่มีหัวใจอ่อนโยนหรืออย่างไร
คิดดู..
จะไม่ให้ผมร้องไห้ได้ยังไงละนี่
ในเมื่อ
บทนี้รจนาราวแทนใจแทนความรู้สึกผม
ยามวัยเยาว์ได้อย่างสุดแสนจะซาบซึ้งใจ
ประทับใจเลยทีเดียว 


และ
เพราะเรือนไม้แสนงามอย่างย้อนอดีตผม
กับความใหลหลงในดงดวงดอกไม้ไทยหอมๆ
กับ
ความรู้สึกพันผูกกับบางสิ่ง...
ที่แขวนประดับอยู่ภายในเรือนรับรองแขก
ที่พลันพาผมนิ่งงัน


ยามที่สายตาพาสายใจแสนสะดุดตาสะดุดใจ
*กับภาพนางในฝันบนฝาผนัง
ภาพสีน้ำมันอันแสนพิลาสพิไล*
ในฝีแปรงและแสงเงางามล้ำ
ภาพวาดหญิงสาวในชุดสไบแพรสีไพล
ที่เปิดเนินไหล่กลมกลึงละมุน
เธอคนดี
คลี่ยิ้มราวดวงดอกไม้รอหยาดละออละอองน้ำค้าง
และทัดแก้มหวานริมไรผมสลวย
ด้วยดวงดอกลั่นทมชมพูพราวเด่นงามตา


หัวใจผมแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ
ทันที่ได้สบกับนัยน์ตาอ่อนเศร้า
อันงามเงียบนิ่งเย็น
ราวน้ำใสในมหาสมุทรอันแสนล้ำลึก
อันแสนยากหยั่งถึง 
ตรึงใจให้ผมคิดตามว่า


ในยามที่จิตรกรร่างภาพเธอบนผืนผ้าใบนั้น
เธอกำลังฝันหรือคิดถึงอะไรอยู่ 
หัวใจเธอกำลังโบกโบยบินไปยังถิ่นไหน
ถึงได้ดูมีพลังลึกลับราวกับมีมนตรา
ที่อยากชวนให้ค้นหาติดตาม
เบื้องหลังแห่งความงามอันล้ำเลอค่านี้


และ
ด้วยหลายเหตุผล
ที่ในที่สุด
ผมก็ตัดสินใจพักที่นี่..
และ
ผม..ก็มานอนคลี่ยิ้มอย่างอิ่มเอม..บนเตียงโบราณ
ม่านมุ้งสีขาวราวในเรื่องทวิภพ
พร้อมกับสายลมบางเบา
ที่พัดพากลิ่นดอกไม้ใต้ชายคาเรือนมาทายทัก
ให้ผมชักง่วงงุนเข้าทุกทีๆๆๆ
และในที่สุด
ผม..ก็ผลอยหลับไป..


ในนิมิต..
แปลกดี
ที่ราว..ผมจะย้อนชีวิต
กลับไปเดินเล่นในสวนรุกขชาติ
ที่รายล้อมด้วยคูเมือง
ที่งามประเทืองประทับใจ
ด้วยดอกบัวบานชูช่อล้อลมไสว


และเต็มได้สีสันแห่งพรรณไม้นานา
ที่ต่างพากันบานสะพรั่งพรึบ
และนั่น
เมื่อผมมองผ่านเนินดินเข้าไปยังลานกว้าง
ผมเห็นร่างงามใครบางคนยืนหันหลังให้ผม
กำลังชมดอกไม้ไสวเพลิน..


และ
เธอคนนั้นห่มสไบแพรสีโศก
โลกตรงหน้าผมราวเงาอดีตย้อนหวนคืนมา
แต่ไยเล่า
ผู้หญิงคนนี้กลับราวรูปนางในฝัน
ที่ผมเห็นในบ้านเรือนไทย..
********


เสียง...โทรศัพท์มือถือกรีดร้องก้องมาในความฝัน
ผมพลันสะดุ้งตื่น
ค่อยๆทบทวนว่า
นาทีนี้ผมมานอนอยุ่นะที่ไหน
และ
เวลานี้เป็นเวลาเท่าไรแล้ว..

เพื่อนจากสายโทรมาร่ายยาวถึงปัญหาเรื่องงาน
ที่ต้องสานแก้ก่อนเช้าวันจันทร์
ย้ำ!ห้ามผมเกเรหนีหายหน้ามิยอมมาประชุม
ผมตกปากรับคำแต่โดยดี
และร่ำๆจะเล่าบางสิ่งในนิมิตให้ฟัง
แต่...ช่างมันเถอะนะ!


ผม..อยากใช้เวลา
ลงไปสำรวจวัดวาอารามแถวนี้
ที่ผมหวังว่า
พอจะได้มีที่ภาวนาจะดีกว่า..
ผม..
กลับลงมาชั้นล่าง
 อยากจะถามพนักงานถึงภาพงาม*นางในฝัน*
ว่าเจ้าหล่อนนั้นเป็นใครกันละหนอละนี่
ถึงได้งามวิไลล้ำนัก


แถม
ยังตามมาให้ผมพะวักพะวงถึงในฝัน
ทั้งๆที่ร้อยวันพันปี
ผม..นั้นเพียรหนีกิเลสกามห้ามจิต
ห้ามใจ..ให้แค่ตาดูแค่ระลึกรู้..
มินำมาปรุงต่อก่อเกิดกิเลสลาม
ให้ใจไหวหวั่นให้พลันพาติดตรึงใจ
จนจิตมิอาจจะใสอย่างที่เพียรแสวงหา


ให้สมกับที่อยากพาตัวเองให้พ้นทางโลกย์โศกสุข
หนีทุกข์ทุกรัก
 เพราะอยากตั้งสติมีสมาธิ
มีปัญญาพาตนให้หลุดพ้นจากสังสารวัฎฎ
มิอยากเกิดดับเกิดดับชั่วกัปป์กัลป์อนันตสงไขยชาติ
มาชดใช้ว่ายวนวงกรรมนี้
ที่มีกิเลสกามเป็นเครื่องล่อ


ในเมื่อผม..พอจะรู้ทางแล้ว
เหลือเพียงฝึกให้กระจ่างแจ้งแก่ใจตน
แบบตนนั่นแหละคือที่พึ่งแห่งตนจะพ้นภัย
โดยน้อมนำคำสอน
ของพระพุทธองค์มาน้อมนำจิต..
แบบค่อยเป็นค่อยไป..ตามกาลตามกรรม..


ผม...
ค่อยๆเดินลัดเลาะดงพุทราป่า
ที่ขึ้นระเกะระกะเต็มไปหมด
ต้นไม้แถวนี้ดูดูบางทีก็เหมาะกับสภาพโบราณซากสลักหักพังดีจัง
ดูราวกับว่าจะสอดคล้องกับความหลังอันแสนมลังเมลือง
ที่นะบัดนี้ลอยเลื่อนลาลับไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมา


และ
นั่นพลันพาให้ผมพบเธออย่างเริ่มเรื่อง
*ผมหันไปเห็น  ผู้หญิงคนหนึ่ง
เพียงเรียวหน้าละมุนด้านข้างที่ดูงามเศร้าล้ำราวรูปปั้น
ในไรแสงรำไรๆที่ค่อยๆคลี่กระจาย
ขับวงหน้านวลใส
เกิดแสงเงาดูงามผ่องผุดในยามย่ำสนธยา..
ผม..เห็นเธอนั่งทอดตาเงียบๆ
ภายใต้ต้นพิกุลดอกพราว
ราวกับโลกนี้มีเธอลำพัง*


และ
อย่างช้าช้า
เมื่อเธอเบือนหน้ามาทางผม..
หัวใจผมก็แทบหยุดเต้นอีกครา
เมื่อ..
ใบหน้างามละออนั้น
ก็คือภาพเดียว
กับนางในฝันและนางในกรอบรูป..อันแสนงาม..โอ้ฟ้าดิน!
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด