10 กันยายน 2548 20:45 น.

หนาวนวล...!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html
(เดือนต่ำดาวตก)
...............................



จุดเทียนหอมระริบหรี่คลี่ใจฝัน
ท่ามเงียบงันในเงียบงามยามโพล้เพล้
กลีบลั่นทมเคลียไรผมใจว้าเหว่
ดอกรักเร่มาแรมร้างกลางเมืองลวง..

ฟังเพลงฝนหล่นลาราตรีนี้
ดอกจำปีคลี่กลีบหวานรอรานร่วง
ค่อยดอมดมพรมจูบละมุนทรวง
พุดพร่างดวงหวงกลีบซ้อนอ้อนหาใคร...

นวลการะเวกแซมเขียวไพลไกวกิ่งโยก
พอลมโบกก็ระบัดพราวพัดไหว
ราตรีเอ๋ยเผยกลิ่นร่ำราวช้ำใจ
รักพรากไกลกลายสีโศกโลกดายเดียว...

วงหน้าเรียวต้องแรมจันทร์ขวัญควะคว้าง
ฟ้าแสนกว้างว่างเปล่ายามเหงาเปลี่ยว
สิ้นไร้ดาวเพียงจันทร์ฉายคล้ายรูปเคียว
ลอยฝากเสี้ยวราวเรียวใจไหวหวั่นนัก...

เจ้านกไพรใจรวนเรเร่แรมรัง
นวลสิ้นหวังหลงเพ้อละเมอภักดิ์
เจ้าลืมสิ้นกลิ่นผ้าถุงในอ้อมตัก
น้อยใจนักเจ้านกไพร....ไยลืมสิ้นกลิ่นโคลนดินสาบควาย........
........................





ฝน..พรำสาย
ไม้ใบเริ่ม ร่ายระบำไหวเอน
วิเวกราตรีกำลังคลี่ห่ม..
ให้หมองหม่นเทาทึมไปทั่วทิศทาง

ในคืนที่ฟ้าไร้สิ้นแสงดาว 
และจันทร์เจ้าก็หลีกเร้นเข้ากลีบเมฆ

เงาไม้กรายกิ่ง
ต้องพรายพายุพัดวูบไหวโอนเอนไปมา
เป็นเงาพร่างในท่ามกลางสายฝนพรำ อย่างมิสิ้นสาย



นัยน์ตาหญิงหนึ่งทอดนิ่งนิ่ง...ทิ้งซึ้งเศร้า 
มองฝ่าม่านฝนออกไป....ไกลแสน..แสนไกล...
นอกหน้าต่างกระจกบานกว้าง....
ที่มีเพียงม่านใบไม้ลายดอกแก้วขวางกั้น...



เสียงโทรศัทพ์พลันร้องเตือน..ให้..เจ้าของต้องเบือนหน้า
หันหาที่มาแห่งเสียง จาก..ตั่งข้างเตียงโบราณ
และ..
ทันได้ยินเสียงเหงาเศร้า.. แผ่วเบาผ่านมาจากฟ้ากว้าง
ราวกำลังกระซิบริมหู...



และ..
พร้อมกันกับ...ฝันควะคว้าง
กับพรายพร่างแห่งหยาดฝนพรำ
น้ำนัยน์ริมเรียวตา
ก็ค่อยๆพลันพร่าซึมออกมา..ผสานผสมกันอย่างช้าช้า
ริมเรียวแก้มงาม..



และ..เธอ..
แค่แสดงความรับรู้...ว่าได้ยินคำแสดงความห่วงใย...
แล้วก็...
ตัดใจ ตัดสายไป..ตัด..สายใยแห่งผูกพัน
ด้วยใจ...อยากอยู่ลำพัง...

แค่รอรับ..
พลังแห่งความหวานชื่นสดฉ่ำแห่งสายฝนที่กำลังพรั่งพรู
แทน...
การอยากรับรู้เรื่องราวใด ...ด้วยใจ..*ดวงไร้พันธนา* 
ที่แสนสุขสงบล้ำ...เกินกว่าคำจะบอกใคร



เธอ..พลีใจ
ฟังเสียง*ปีศาจวสันต์*อย่างงามล้ำในอารมณ์
ที่แสนด่ำดื่มเดียวดาย
ราวอยู่คนเดียวณ..ปลายโลกร้าง

และ...
ราวได้ยินเสียงสายฝนภายนอก
กำลังผสานโศกกับสายฝนภายใน
ที่กำลังไหวสะอื้นไห้...อย่างมิอายฟ้าดิน...!


น้ำตาแห่งความสุข..
พ้นทุกข์ถวิล..
สิ้นคิดถึงและห่วงหาใคร......ค่อยๆพร่างระรินไหล  มิสิ้นสาย



เพียงแค่เธอได้..ปลดปล่อยดวงใจ ให้นิ่งใสรับงาม
อย่างผู้รู้ตน...อย่างบัวพ้นน้ำ...เพียงนั้น..

กับ...
คืนวสันต์ลีลา

กับคืนที่...
ฟ้าสิ้นไร้แสงดาว...
และ...
กับ
คืนที่หนาวแสนหนาว
นวลเนื้อ  เนื้อนวล  .เนื้อใจ
ยามสิ้นไร้ใคร...สิ้นไร้เจ้านกไพร..ในใจนวล..
อีกคราครั้ง..อีกครั้งครา..ณ..นาทีนั้น...!!!
.......................





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html
เดือนต่ำดาวตก .......ทูล ทองใจ 

เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ
เผลอร้องกลางดึก ดวงจิตระทึก
พี่นึกว่าเป็น เสียงเธอ
ผวา มองจ้องตามเพียงครู่
รู้ตัวว่าเก้อ ต้องกลับมาเพ้อ รำพึง
เงาไผ่หรุบหรู่แหงนดูเดือนต่ำ
น้ำค้างร่วงกราว 
ใจยิ่งปวดร้าว ยามไร้เธอเคียง คนึง
ความรักที่เคยชื่นทรวงใจซ่าน
หวานดังน้ำผึ้ง
แปรเปลี่ยนบึ้งตึงเหมือนเดือนเลือนลา
แม้ท้องฟ้าไร้
ทั้งดาวและเดือนก็เหมือนพี่นี้ 
ไร้คู่ชีวี นอนแนบนิทรา
เหมือนคนไม่มีหัวใจ ได้แต่ผวา
เสียงลมพริ้วมานึกว่าเสียงนาง
เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ
เผลอร้องครั้งใด
พี่แทบคลั่งไคล้คิดถึงทรามวัย มิวาง
ผวากายหมายโลมเนื้อเกลี้ยง
พบเพียงหมอนข้าง
แทนที่แม่นางน้องเจ้าเคยนอน

แม้ท้องฟ้าไร้
ทั้งดาวและเดือนก็เหมือนพี่นี้ 
ไร้คู่ชีวีนอนแนบนิทรา
เหมือนคนไม่มีหัวใจ ได้แต่ผวา
เสียงลมพริ้วมานึกว่าเสียงนาง
เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ
เผลอร้องครั้งใด
พี่แทบคลั่งไคล้คิดถึงทรามวัย มิวาง
ผวากายหมายโลมเนื้อเกลี้ยง
พบเพียงหมอนข้าง
แทนที่แม่นางน้องเจ้าเคยนอน... 
 
  



				
4 กันยายน 2548 22:00 น.

ดวงใจพุดไพรไหวงามตามหาชัยชนะ...และมิ่งมิตรน้องพี่

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song99.html
(เพื่อน้อง)
.............


คิดถึงมิ่งมิตรคนดีที่ชื่อชัยชนะ
ถึงเมกกะน้องชายคล้ายวันผ่าน
คิดถึงพี่นกตะวันคนดีกับงามงาน
คิดถึงม้าก้านกล้วยเคยหวานกลับหายไป

คิดถึงใครมากมายที่หายหน้า
เหมือนฟากฟ้าขาดดาวพราวไสว
คิดถึงคนเคยรักเคยพักใจ
ในร่มรักเรือนไทยเสมอมา

ฝากดอกไม้สยายกลีบบานชูช่อ
มาฝากพ้อฝากเพ้อละเมอหา
จากดวงใจหญิงหนึ่งซึ้งอุรา
จากชีวาดวงโบราณหวานดายเดียว

โลกมายามาลีลามาพรากจาก
ราวกับฝากสัจจธรรมยามแลเหลียว
ไร้จีรังไร้หวังใดแท้จริงเทียว
คือดายเดียวเปลี่ยวเหงาโลกเรานี้

และวันหนึ่งพุดพัดชาคงลาจาก
คงจำพรากจากเรือนไทยไม่นานนี้
เมื่อถึงวันโลกฝันแตกดับสิ้นไร้ไฟในชีวี
คงไม่มีเรือนรักให้พักใจ

เพียงเพียรรอขอไฟฝันให้พลันพร่าง
จุดกระจ่างสร้างงานหวั่นหวามไหว
มีเพียงน้ำตาราวสายฝนณ..กลางใจ
เมื่อหันไปในวันนี้..ไม่มีเธอ ไม่มีรัก....!!!!
.........................




http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=45 
ฝนปริบปรอยใจปลิดปลิว  



รู้สึกไม่สบาย..
ก่อนนอนต้องกินยาไปหนึ่งเม็ด
แล้วหลับไป..เปิดม่านหน้าต่างไว้ให้แลลอดเห็นกิ่งจำปีไหวเอน
และไรแสงดาวพราวพร่างฟ้าสาดส่องลงมาเป็นเพื่อนประโลมใจ
จนกว่าจะหลับไหลไปกับฝันคว้างทุกค่ำคืน..

เห็นเครื่องบิน..
ไฟพริบพราวอยู่ไกลๆ ไปไหนกันละหนอ เกาะสมุยละมังนะ..
ยิ่งพาใจเศร้าไปใหญ่ เมื่อคิดถึงใครบางคน
ที่แสนรักเอยแสนรักในกมลที่ยามนี้
อยู่ไกลสุดหล้าขอบฟ้าเขาเขียวเลย..



ก่อนนอน..บนที่นอนจะมีหนังสือกองกระดาษมากมาย
ที่เขียนค้างคาวางรอท่านักอยากจะเขียน
ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ริมหมอน..บางทีคิดอะไรได้จะเด้งดึ๋งขึ้นมา
คว้าปากกาเขียนมืดๆก็เอา กันลืม..
แต่พอตื่นมาอีกทีอ่านไม่ออกไม่รู้ภาษา..อะไร..เฮ้อ!



เช้าตื่นมาฝนตกปรอยๆ...
แปลกดีที่ชอบอากาศชุ่มฉ่ำหอมเศร้าแบบนี้ 
ที่ทำให้ระลึกถึงสิงคโปร์..

ใจเลยหมองหม่นนิดๆไปกับสายฝนพรำ..
จำปีทิ้งกลีบกระจายเกลื่อนกล่น
พร้อมแก้วราวพรมกลีบดอกไม้..เกลื่อนพื้นพราว

เวลาไม่สบายใจ..เสียใจอะไรจะขยันผิดปกติ 
ลากข้าวของมาจัดหางานให้กับชีวิตจะได้ลืมๆไป
ทุกเรื่องราวที่เศร้าหมอง..


เช้านี้ปีนต่อโคมไฟเอง สวยมากเลย
ลายดอกไม้พราวมีผีเสื้อน้อยๆคอยเกาะชิมน้ำหวาน...
เสร็จแล้วเปิดวิทยุ..104.5 
ฟังนักร้องบ่นว่าไปไม่ค่อยจะฟังรู้เรื่อง 
เอาแค่ประเทืองอารมณ์เป็นพอ


ทรุดตัวนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือประจำ..
เพ่งพิศดูลั่นทมล้อระทมในแววตา 
ในแจกันแก้วเจียรนัยข้างขวามือ
ที่เคยได้รับรางวัลจากงานเขียนพิลาสพิไล 
ใส่กุหลาบขาวหอมงามจนเต็ม..

มองผ่านหน้าต่างกว้าง..เห็นแมกไม้และท้องฟ้า.
พาให้คิดถึงใครบางคนอีกแล้ว..
ที่แสนไกลไกลแสน


ฝนปลิบปรอย..ใจเราปลิดปลิว..เคว้งคว้าง 
รานร้าวใจกับดวงใจที่เดียวดายว่างเปล่า..
.........................





http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=152

ฉันนั่งรอเธอเดียวดายที่ปลายโลก
หลบมุมโศกเหลือมุมใจเพียงในฝัน
รักและรอ รอและรัก ชัวกับป์กัลป์
หลับตาฝันฉันมีเธอในอ้อมใจ...

ที่ปลายโลกไยโศกเหมือนร้างไร้
มันคล้ายคล้ายตะวันลาราตรีไหน
มีเพียงฝันวันแสนงามไว้ปลอบใจ
คำหวานใดก็ลมลมตรมน้ำตา...

ฉันเดียวดายคล้ายโลกนี้เล่นตลก
และเหมือนนกปีกหักใจอ่อนล้า
อยากคืนหลังจูบผืนทรายใกล้ธารา
และซบหน้าหมายมาดสวาทไกล...

ตะวันตกดินถวิลรอที่บ้านเก่า
รอคนเหงาซับน้ำตาอย่าร้องไห้
อีกไม่นานได้คืนร่างหลับสบาย
ให้เม็ดทรายคลื่นทะลเห่กล่อมขวัญนิรันดร!
.............




เมื่อโลกนี้ไม่มีหญิงช่างฝัน 
แค่เงียบงันชั่วครู่ใช่สิ้นหวาน 
ฟ้าสีโศกโลกยังสวยดอกไม้บาน 
จันทร์ดวงหวานยังผ่านมาในธาตรี.. 

เสน่หาสวาทหวังยังคงอยู่ 
โลกหมุนคู่สุขเศร้าเคล้าใจนี้ 
ดาวยังงามยามเยือนแย้มแต้มราตรี 
ปลอบชีวีมีคืนฝันวันฝากใจ 

ทะเลยังคงครวญคร่ำมิหลับไหล 
ให้ฝันไกลไปสู่ฝันอย่าหวั่นไหว 
คลื่นคลอทรายยังร่ายมนต์เรียกดวงใจ 
มะพร้าวไหวยังไกวกิ่งทิ้งร้าวราน 

ลำธารใสในราวป่าระรินอยู่ 
นกคลอคู่ยังกู่ก้องร้องเพลงหวาน 
พะยอมไพรไหวกิ่งกราวพราวสู่ธาร 
รุ้งพาดผ่านยังหวานหวังกำลังใจ

เมื่อโลกนี้ไม่มีหญิงช่างฝัน 
ยามมองจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างไสว
คิดถึงฉันวันไหนเศร้านะดวงใจ 
พร้อมเคียงใจ..ส่องนำทาง ห่างมืดมน...

..............................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song99.html
เพื่อน้อง ....ชรินทร์ นันทนาคร 

เพื่อ น้อง พี่ปอง หมายพยายาม
เพ้อพะวง เพียงนงราม 
คอยติดตามเหมือนเงาตามตัว
เพื่อ น้อง พี่ปองรักมาพันพัว
เพ้อรำพันจึงเมามัว
ยังหวั่นกลัวหลวมตัวลืมตาย
มอบ รัก ฝากใจไว้เป็นประกัน
ขายชีวิตเป็นเดิมพัน ใจประกันมิมีวันกลาย
อย่า ทำ ให้พี่ช้ำเพียงเดียวดาย
แม้ชวดชมตรมใจตาย คงจะอายทั่วทั้งโลกา
อย่า ทำ ให้พี่ ข้องจิต พี่นั่งและนอน ยัง คิด
อยู่ตั้งหลาย เว ลา 
ตรม อยู่ในทะเลน้ำตา
ไม่รักพี่ก็บอกมา ไม่ปรารถนา มากวนเจ้า
อยาก รู้ ก็จงคิดดูเป็นไร 
ทั้งโลกนี้มีใครใคร
คอยใส่ใจเหมือนดังเป็นเงา
อยาก รู้ ว่าใครภักดีนงเยาว์
น้องคิดดูเพียงเลาเลา 
ใครจะเท่าพี่รักเจ้าเอย

อย่าทำ ให้พี่ ข้องจิตพี่นั่งและนอนยัง คิด
อยู่ตั้งหลาย เว ลา 
ตรม อยู่ในทะเลน้ำตา
ไม่รักพี่ก็บอกมา ไม่ปรารถนา มากวนเจ้า
อยากรู้ ก็จงคิดดูเป็นไร 
ทั้งโลกนี้มีใครใคร
คอยใส่ใจเหมือนดังเป็นเงา
อยาก รู้ ว่าใครภักดีนงเยาว์
น้องคิดดูเพียงเลาเลา 
ใครจะเท่าพี่รักเจ้าเอย... 
 
  


				
4 กันยายน 2548 20:05 น.

พุดไพรพลีดอกไม้ฝากให้คุณ..ลาร่มรัก.!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2247.html
(ดอกไม้ให้คุณ)
.................



ไพล...ตื่นมากับเงาฟ้าสลัวมัวหม่น
กับหอมไม้ไทยปนดวงดอกพุดซ้อน
ที่แสนหวานอวล..อวดอรชร
มาอ้อนออดถึงเตียงโบราณ 
ให้จิตใสหวานแจ่ม...ตั้งแต่ในยามย่ำรุ่ง...

ม่านนวล...ที่ประดับรายรอบราวมุ้ง
พัดระบัดไหวไปตามกระแสลมแรง



วสันต์ลีลา....
 ฟ้าเพิ่งหลั่งน้ำตาร่ำไรอาลัยอาวรณ์
ทิ้งเทาทึมทอดทับทุกทิศทาง

ให้หยาดน้ำตานางฟ้าได้พร่างพรม
หวังมิฝากตรมให้ชาวนาชาวเมืองระทม
เมื่อลงผิดที่ผิดทาง



บ้างก็น้ำมากเกินจนท่วมทับ
บ้างก็แล้งจนรับมือแทบไม่ไหว
โอ้ไฉนเลย...ฟ้าดิน..!

และ...
นี่คือทุกข์มิรู้สิ้น...
ที่ถึงเรามิถวิลหวังให้ได้มา
หากก็ต้องยอมรับกติกาโลกกติกาชีวิต
ที่บางครั้งเราพิชิตและ
ลิขิตธรรมชาติ วาดวงให้ได้ดั่งใจฝันมิได้
หากเราต้องใช้วิจารณญาณก่อนสายเกินแก้


ห้ามเบียดเบียนโลก จนต้องรับโศกสิ้นสุข
 และ
นับวันจะต้องทนทุกข์รับมือ
จากการถูกสอนสั่งจากภัยธรรมชาติ

สัจจะธรรมอันแสนล้ำค่า
จากบทเรียน
ที่ดินฟ้าพิโรธ โกรธเกรี้ยวเลี้ยวมาตอบ
ให้ผู้มิรู้รักษ์ รู้คิดชอบแด่ผืนดินน้ำลมไฟ 

อันคือ
ความยิ่งใหญ่เกินต้านรับ
หากมนุษย์นับพันล้าน...
ยังมิรู้รักษ์ธรรมชาติ
ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม 
ก็จะตรอมจะตรมจะทนทุกข์
อย่างยากที่เยียวยาจะแก้ไข


ไพล...
เพียงหวัง..
ให้เมืองไทยแดนดินด้ามขวานทอง
หยุดปองร้ายกัน หันหน้ามารู้รักสามัคคี
อย่างพี่น้อง ปรองดองสมานฉันท์ปันแบ่ง

และ
หันมาใช้แรงรักนั้น
จักพลีตอบแทนคุณผืนดินธรรมแผ่นดินทอง



 แผ่นดิน...
ที่ลูกหลานโหลน
จะได้อาศัยหยัดยืนอย่างแสนทรนงภาคภูมิใจ
ไปภายหน้า ใต้ร่มฟ้า ร่มฉัตรเพชรกางกั้นเกศ

ใต้ร่มรักแห่งทุกศาสนา
ที่ทุกศาสดาต่างก็พากันฝากคำสอน
ให้ทำแต่ความดี
มีอภัยเมตตาปรารถนาดีกันและกัน

ก่อนที่ไฟบรรลัยกัลป์
ด้วยแรงสงคราม
จากไฟแห่งกิเลสตัณหาความทะยานอยาก
จะตามมาห้ำหั่นพากันทำลายล้างโลก
ให้วิโยคสะเทือนจนแหลกแตกเป็นผงคลี
 
และ...จน
ทุกดวงชีวีวิญญาณ
จักเร่ร่อนไร้ที่ผ่อนพัก
ตราบไปชั่วกัลปาวสานต์อสงไขยเวลา


และ...
นี่คือใจไพลดวงใสใส 
ที่บางครั้งคราแสนเหนื่อยล้ากับโลกมนุษย์
และอดเหว่ว้าดายเดียวในดวงใจเสียมิได้

เมื่อแสนเศร้าสะเทือนใจไปกับภัย
ที่มนุษย์ผู้เรียกตัวเองว่า
*พิสุทธิชน..*  เหนือสัตว์อื่น

หากทว่า
ยังหยิบยื่นความเจ็บปวดให้แก่กันและกัน 
ยังเต็มไปด้วยการฆ่ารายวัน
การทำร้ายเบียดเบียนกันมิสิ้นสุด


แม้นกระทั่งสึนามิ
และพายุถล่มมาเตือนแล้ว...ก็ยังมิสำนึกตรึกตรอง
จ้องรีบจะตายเร็วก่อนกาลเวลาสังขาร..



และ...เช้านี้..ไพล...
จึงยิ้มหวานละไมไม่ได้แล้ว
เพราะ
ได้ยินข่าวแว่วๆมากระทบจิต
ว่าที่อเมริกา...
ต้องประกาศกฎหมายพิเศษ..
เนื่องจากเภทภัยจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกัน

ที่คร่าฉุดสตรีไปข่มขืน 
หลังจากที่ถูกพายุกระหน่ำ
แล้ว
ยังมาถูกวิบากกรรม
*ภัยสังคม*..มาซ้ำซัดซ้ำเติมอีกระลอก

ที่ได้แต่บอกใครไม่ได้ 
ได้แต่สะท้อนสะท้านสะเทือนใจ 
จนไม่ทราบจะว่าอย่างไรแล้ว



ไพล..
จึงรีบตื่น
เพื่อพาตัวไปวัดทำจิตให้ใสเสียดีกว่า
เพื่อสร้างกุศลทาน
สร้างบุญบารมี..อธิษฐานภาวนา

ขอให้ทุกดวงใจโหดร้ายที่มืดดำ
ได้พบทางสว่างทางธรรมนำทางใจ
แสนงามกระจ่างล้ำ ทางสายแห่งปัญญา
และ...
ได้รู้ค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์

ที่แสนประเสริฐสุด
ทันได้มาพบพระพุทธศาสนา
ที่แสนล้ำค่าทางจิตวิญญาณเป็นยิ่งนักแล้ว
ให้ได้มีแก้วมณี..ประดับใจ..
ก่อนลมหายใจจะสิ้น..



และ...
แด่ผองชน...คนในชมพูทวีป 
ที่ประพฤติชีพชอบ
ได้มาพานพบประสบพระประทีปแก้ว..
ได้ตามรอยบาทองค์พระศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และ
อาจจะได้เฝ้ายามลาล่วงเลยลับ
หากจิตจับไว้เป็นกุศลจนลมหายใจสุดท้าย
ใช่..!มาหายใจเปล่าเปลืองไปวันวัน
คอยจ้อง
แต่จะทำร้ายเบียดเบียนกันทั้งทางกายวาจาใจ



ไพล...
จึงมาตั้งจิตตั้งใจ
มาฝึกพร่ำอบรมบ่มจิต...ภายในให้สวยใสที่วัด

ไพลจัดสำรับคาวหวานและผลไม้
แล้วนุ่งผ้าไทยปักเชิงชายผืนงาม
ตามคล้องคอด้วยสไบสีทองผืนเก่า

และ..
ด้วยใจดวงเหงาดวงทองดวงผ่องผุดพิลาส..
ทุกย่างเท้าที่ก้าวเข้าขอบเขตขัณฑสีมา
หัวใจดวงเหว่ว้า กลับยิ่งงามใสไสวสว่าง
ด้วยม่านน้ำตาแห่งปิติเกษม



ด้วยความรู้สึกร่มเย็นเป็นสุขสิ้นทุกข์ใด
ในหัวใจมีแต่สดใสรื่นรมย์

เมื่อแหงนเงยไปเห็นแมกไม้
รายรอบเริงร่ายระบำรำฟ้อน
รอหยาดหยดฝนพรมพรำ
อย่างราว
กำลังจะสอนสัจจธรรม..บทเรียนธรรม..จากธรรมชาติ
ว่าให้ทำใจสดใสฉ่ำเย็นตาม


เพราะ...
ความร่มเย็น...
 ไม่ว่าจะเป็นศิลาที่ไพลชอบนั่ง
ก็ยังสอนถึงคำว่าศีล..ที่มาจากศิลา
คือความหนักแน่นมั่นคง เย็นใจ
ในศรัทธาปสาทะ

ที่จะยึดมั่นอย่างซื่อตรง 
คงเดินตามรอยบาทองค์พระบรมศาสดา
อย่างหวัง
มิให้คลาดคลาอีกแล้วในน้อยนิดชีวิตหนึ่งนี้



ไพล...
ทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นมะขามใบระยิบพร่างกระจ่างไสว
ในคลองตาคือนานาพันธุ์ไม้กำลังร่ายฟ้อน
ราวกับป่าใหญ่ในเมืองอันเรืองรุ่ง
ที่
หลวงพ่อท่าน...ยังมุ่งพัฒนาวัด วัตรของผู้คนไปพร้อมกัน
ทั้งด้วยธรรมและธรรมชาติ..อันจะขาดจากกันมิได้


เพราะ...
มาตรแม้นพระพุทธองค์ไซร้
ก็ยัง ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน 
ณ..ภายใต้ร่มไม้ให้เงางาม
ในทุกยามบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างแสนสมถะสงบเงียบ
และ...
แม้นพระอรหันต์ส่วนมาก
ก็ยังมักเลือกภิกขาจรรอนแรมไปแสวงบุญ
หา*หลักแห่งใจ*
ในป่าดงพงไพรพนา  อย่างเย็นอกเย็นใจ 
ในร่มไม้ใหญ่ไทรสาขา..
ที่พากันได้สงัดเงียบรียบง่ายแสนร่มเย็น



สำหรับ
ไพลมาวัดทีไร จึงได้งามใจ 
ทั้งจากธรรมชาติและทางธรรม
ที่สอนบทเรียนแสนล้ำเลอค่า

ให้รู้ว่าชีวาชีวิตนั้น...จักหนีไม่พ้นความเป็นธรรมดาโลก
อันคือทุกข์โศกโรคภัย
เกิดแก่เจ็บตายที่หามีผู้ใดผัดเพี้ยนได้ไม่


จึงจำต้องควรหันมาพึ่งพิงกัน 
ไม่ว่าดินน้ำลมไฟ 
ที่จักผสานผสมกัน
จนให้เกิดพลังแห่งความเป็นสัจจธรรม

ที่ทุกอย่างนั้น 
ให้เราเพียงรู้พิจารณาธรรม
จากพลังแห่งธรรมชาติที่รายรอบเรา
แล้ว
ค่อยมองย้อนสอนใจ...มองกลับเข้าไปณ..กายเรา
ณ..ภายในจิตใสแห่งเรา
ว่าเรายังเขลา ยังทุกข์ทนไหม...



หากยังใจเร่าร้อน 
ก็จงผ่อนพัก...
รู้จักรินรดด้วยหยดหยาดแห่งน้ำอมฤตธรรม
จนกว่า
เราจะถามย้ำกับตัวตนว่าเราดับทุกข์พ้นทุกข์ได้ หรือยัง
หรือรู้วาง  ให้ทุกข์ห่างตัวแล้วหรือยัง

แม้นอาจจะได้บ้างมิได้บ้าง 
ก็ยังดีที่รู้แนวทาง
เพื่อไปสู่เส้นทางสว่างไสว
ที่จะนำพาใจเรา...
ให้มิหลงใหลมืดบอดในบ่วงพันธนาแห่งทุกข์ทุกรัก



ไพล....
นั่งนิ่งนิ่ง
ทิ้งจิตภาวนารักษาศีลและ
พลันฟ้าก็โปรยฝนพร่าง
ในท่ามกลางพระภิกษุรายรอบลานหิน
หากพุทธศาสนิกชน 

และ
พระธรรมทายาท
แห่งองค์พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หาได้หนาวไม่

ยังคงมิย่อท้อ
ที่จะเพียรทำหน้าที่ สร้างกุศลจิตที่ดีจนสิ้นสุดวัตร
และ...
นั่นคือ ลูกแห่งพระบรมศาสดา 
ที่หวังให้โลกหล้านี้...มีแต่ความเมตตาฉ่ำสุข
ปราศจากทุกข์ในทุกดวงใจ ที่ยังไม่สิ้นในเงาวิบาก



ไพล..จึงได้แต่
นั่งสวดมนต์ท่ามกลางสายฝนพรมพรำ
ด้วยดวงใจอิ่มงามที่ทั้งร่างและใจแสนใสเย็นพอกัน
ด้วย
ดวงใจที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความปรารถนาดี
แด่เพื่อนมนุษย์อย่างมิสุดสิ้นรักได้เลย...

..............................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2247.html
ดอกไม้ให้คุณ ...แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ 


ขอมอบ ดอกไม้ ในสวน
นี้เพื่อมวล ประชา
จะอยู่ แห่งไหน จะใกล้ จะไกล จนสุดขอบฟ้า
ขอมอบ ความหวัง ดั่งดอกไม้ ผลิ
สด ไสว งาม ตา
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ มา
ดวงตะวัน ทอ แสง
มิถอยแรง อัปรา
เป็น เปลวไฟที่ไหม้ นาน
เป็น สายธารที่ชุ่ม ป่า เป็น แผ่นฟ้า ทาน ทน

ดวงตะวัน ทอแสง
มิถอย แรง อัปรา
เป็น เปลวไฟที่ไหม้ นาน
เป็น สายธารที่ชุ่ม ป่า เป็น แผ่นฟ้า ทาน ทน
ขอมอบ ดอกไม้ ในสวน
ให้หอมอบอวล สู่ ชน
จงสบ สิ่ง หวัง ให้สม ตั้งใจ
ให้คลาย หมอง หม่น
ก้าว ต่อไป ตราบชีวิต สุด
ดุจ กระแส ชล
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ...

				
4 กันยายน 2548 07:51 น.

เรือนบัว

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
(ณ..วันนี้ )
....................


ผม..พาตัวเองมาที่นี่..
เมืองงามในท่ามกลางฤดู..ฟ้าฉ่ำฝน

ที่ผมเหงากมล...
เสียจน..ต้องตัดสินใจเดินทางรอนแรมมาจนถึงนี่

*เมืองวังเวียง *



เมืองที่ต้องจับเครื่องบินมาลงที่เวียงจันทร์
และขึ้นรถมาทางเหนือหลวงพระบาง
อีกเป็นระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตร

และ...
ที่นี่แหละครับ
ที่จะมีเมืองเล็กๆซ่อนตัวอยู่ในวงล้อมของภูผาและสายน้ำ



และ...
หากคุณสงสัยว่าวังเวียงงามอย่างไร
และด้วยเหตุใดผมจึงต้องดั้นด้นมาถึงนี่

คุณก็ลองไปใช้ชีวีแสนเรียบง่าย
ที่เมืองปาย  แม่ฮ่องสอน 
เมืองในหุบเขาเช่นเฉกเดียวกัน

ที่มีบรรยากาศเหมือน
เสียจนคนฝรั่งต่างชาติพากันขนานนามว่า
เป็นเมืองแฝดพี่เมืองน้อง



เมืองที่ยังมีมนตรา โรยหวานด้วยม่านหมอก
หยอกล้อรวงเรียวข้าวเขียวขจี...
ให้น่าหลงใหลในมนต์ขลัง

ที่ยังมีวิถีสุขสงบงามอย่างแสนเรียบง่ายสมถะ
และ
ยังมีแม่น้ำพาดผ่านให้ได้ล่องเรือคายัค
ใช้ชีวิตในวันหยุดอย่างแสนสนุกมีสีสันไปอีกแบบ


หากทว่า..
สำหรับผม ที่มาที่นี่
เพราะ...
ผมแค่อยากหนีมาให้ไกลจากความเคยชิน
และ...
จากเมืองศิวิไลซ์มากมายมากมีวัตถุ มิรู้สิ้นรู้จบรายรอบ

ให้ผมได้มากอบกำเกี่ยวเก็บบรรยากาศ
เพื่อย้อนรอยถอยหลัง...กลับคืน....
ไปสู่ความงามแสนสงบล้ำ...อย่างดำดื่มชื่นใจเพียงลำพัง
ราวกับว่า....โลกนี้ยังไร้สิ้นความเจริญใดใด..


ให้หัวใจผมได้หยุดผ่อนพัก
ได้นอนฟังเสียงสายน้ำซอง
ทายทักเซาะไซ้แทรกซุกแสนสุขใจ
ที่ไหลระรินอย่างช้าช้า 
ราวกับว่า
ทุกนาทีอุทัยโลกหมุนกำลังจะค่อยๆหยุดเคลื่อนไหว



ผม...เลือกพักเรือนไม้...สไตล์ไทยล้านนา
ที่ตั้งอยู่ริมสายน้ำ
ที่คล้ายประหนึ่งว่า
กำลังถูกโอบกอดด้วยยอดภูและเงาเมฆไล้ละมุน

เรือน...ที่มีนาข้าว
แลบึงบัวรายรอบ..ที่กำลังอวดดอกชูชันไสว
ที่ทำให้หัวใจผมแสนรู้สึกหวามไหวสนิทเสน่หาอย่างที่สุด

จนอดไม่ได้ที่จำต้อง..
ตั้งชื่อเรือนให้ว่า*เรือนบัว*


และ...
เพราะความงามของเรือน
ที่ยังมีความอ่อนช้อย
ด้วยหลังคาที่มุงด้วยใบตองตึง
และ
ตกแต่งด้วยปีกไม้สักทองทั้งหลัง

อีกทั้งยังมีชานเรือนแสนกว้าง
ให้เฝ้าดูสายน้ำระริน
ยามไอหมอกลอยระเรี่ยเคลียไคล้
สายน้ำซองในยามเช้า 
ที่ราวกับ..
ภาพวาดเมืองในหมอกแสนฉ่ำเย็น..สงบงาม


และ...
ในท่ามยามราตรี
ที่จะมี...*บุหลัน.ไกลบุรี.*มาเยือนแย้มหล้า
ดวงที่งามเกินกว่าคำรำพันรำพึง

ให้แสนซาบซึ้งยามทอดทัศนา
เห็นจากทิวไผ่เหนือทุ่งนา
และ
ยามดึกจะลอยดวงลงมาเหนือผืนน้ำ
งามจนเกินกว่าจะบรรยาย

ไหนจะมีโคมไฟ
ให้สายแสงแสนสวยที่สานจากไม้ไผ่
ที่จุดไล่ประดับไปตามริมสองฟากฝั่งน้ำ
ให้สว่างรำไรๆวะวับแวมวะวิบวับ


นาทีนี้
ผมกำลังนอนเอนตัว
หนุนหมอนขวานตรงชานเรือนที่แสนกว้าง
ที่สร้างยื่นลงไปให้สัมผัสสายน้ำ
อย่างต้องการให้ได้ชิดใกล้ธรรมชาติอย่างที่สุด

แล้ว...
ค่อยๆวาด วงตา ไล่ทอดทัศนาดูความงามรายรอบ
ผมเห็น...ทิวเขาสลับซับซ้อนเคียงนาข้าวเขียวไพลสุดลูกหูลูกตา

ในขณะที่อีกด้านนั้น
มีสายน้ำกำลังค่อยๆบ่า
ไหลเลาะเลียบผ่านมาอย่างช้าช้าเอื่อยๆ


และ...
เคียงคันนานั้น
ก็ยังมีบึงบัวนานาพรรณสะพรั่งพราว
งามราวกับภาพวาดจากฝีมือจิตรกรเอก
และ...
นี่คือที่มาแห่งแรงฝันบันดาลใจ
ให้ผม...ตัดสินใจเดินลัดเลาะ
มาตามคันนาในยามฟ้าเริ่มโพล้เพล้

เพื่อจะมาสัมผัส *ดอกไม้ในฝันนิรันดร์รัก..*ของผม
*บัวกลางบึง*...ก่อนที่จะค่ำลง


และ
ก่อนที่จะถึงเวลาอาหารค่ำ
ที่ผมจะต้องไปนั่งตรงเรือนโถงโล่งกว้าง
ที่ช่างอ้างว้าง เพราะมีแขกน้อยมากในฤดูนี้
และ
จะยิ่งแสนดายเดียวเปลี่ยวเหงา
ในเงางามเงียบแสนโรแมนติก
เมื่อมีแสงเทียนรำไรในยามรัปประทานอาหารลำพัง

กับเสียงดนตรีจากวงออเคสตร้าธรรมชาติ
วงใหญ่ที่ผลัดกันประลองเสียง ประสานเสียง



ผม...
จึงเลือกเดินสัมผัสความเย็นสบาย
ของสายน้ำและหมอกเหมย..ก่อนที่ความมืดจะโรยตัว
และฟ้างามจะยิ่งเย็นสลัวไปกว่านี้

และ
มาหยุดลง...ณ..ที่ตรงนี้
ตรงที่มีบึงบัวแห่งฝันกำลังประชันช่อรอ
ให้ผมเลือกเด็ด



ในขณะ...ที่ใจผมกำลังละล้าละลังว่า..
จะก้มเก็บ  เลือกเด็ดบัวตูมหรือบัวบานดี
ที่ณ..บัดนี้
กำลังผุดผลิคลี่หอม
อวดดวงดอกชูช่อบานพราวรอภู่ผึ้งเต็มไปทั้งสระ


พลัน....!
ผมก็เห็นร่าง...ใครคนหนึ่งแสนงามสล้าง
ค่อยๆผุดพร่าง โผล่ พ้นน้ำขึ้นมาอย่างช้าช้า
ราวนางไม้ นางไพรนางในฝัน



เพราะ..
ในท่ามแสงตะวันสีทอง
ที่สาดส่องมาทางเบื้องหลังผมลีบลู่นั้น
ยังมีหยดน้ำพราวราว
กับมีประกายฉายฉันท์แจ่มจรัส
จากหยดน้ำเพชรพร่างสว่างวาบณ..กลางบึง



ผม...ไม่คิดฝันจะได้พบใครณ..ที่นี่
และ
พาให้ดวงใจนัยน์ตา
ได้สัมผัสกับร่างที่ดูแสนมลังเมลืองในเงาแดดสีทอง
ที่กำลังต้องตกร่างนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


ผม...ตกใจ มิอาจจะหลุดคำใดออกมา

นอกเสียจากว่า
จะเอ่ยปากขอโทษที่ล่วงล้ำบุกรุกเข้ามายัง
*อาณาจักรสวรรค์*แห่งเธอ

ที่เเสมือนนางฟ้าเสแสร้งแกล้งแปลง...ปลอมกาย
ลงมาเล่นน้ำในสระสนานอย่างแสนสุข



เธอ..ยิ้มแล้วตอบด้วยเสียงแผ่วหวานว่า
*ไม่เป็นไรค่ะ
บังเอิญ...ฉันอยากอาบน้ำในบึงบัวค่ะ*
และ
*อยากเด็ดบัวสักกำ
ไปใส่ในแจกันและไหว้พระที่กระท่อมที่พักค่ะ



*คุณคงเพิ่งมาพักที่นี่มังคะ
เพราะฉันเข้ามาไม่กี่วันก่อนหน้า
มีแขกแค่สามคนเอง
อีกสองเป็นฝรั่งคู่รักโรแมนติกค่ะ


ฉันมาที่นี่ทุกปีค่ะ
และเลือกมาที่นี่ในฤดูฝน
ฉัน...รักสายฝนค่ะ
ชอบดูสายฝนหล่นลาลงบนเรียวรวงข้าวค่ะ
และให้ความรู้สึกเหว่ว้าดี
กับธรรมชาติที่เงียบแสนเงียบ


*ครับ..
ยินดีที่ได้รู้จักคุณ
และขอโทษจริงๆที่เข้ามาทำให้คุณตกใจ...

ผม..รักที่นี่เหมือนกันครับ 
แค่มาถึง
ผมก็รู้สึกแสนอบอุ่นสงบสุขอย่างประหลาด
ไม่เสียแรงที่ตั้งใจมา 

และ...
ผมก็ตั้งใจว่า
จะอยู่นานหลายวันเลยครับ
แล้วค่อยๆท่องไปตามเมืองต่างๆในลาว*



*จริงๆผมชอบเมืองปายนะครับ
แต่ปีนี้
ลองเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
เบื่อนั่งรถลดเลี้ยวนับพันโค้งจากเชียงใหม่ไปครับ
เวียนศรีษะมาก...กว่าจะไปถึง*


*คุณ..จะขึ้นจากน้ำหรือยังละครับ
ผมจะหยิบผ้าเช็ดตัวให้นะครับ*

*ค่ะดีค่ะ..ขอบคุณ*
ฉันกำลังหนาวพอดี
อยากไปหาชาอุ่นๆดื่มสักถ้วยก่อนดินเนอร์คืนนี้ค่ะ
ที่คงเป็นอาหารรสชาติดี
เพราะมีพ่อครัวเก่งมากค่ะ
แม้นจะเป็นอาหารธรรมดาๆ



ว่าแล้ว...
ผมกับเธอ..*แม่บัวกลางบึง*
ที่มีนัยน์ตาแสนซึ้งราวหยาดเพชรให้ฝันใฝ่
ที่...
ผมแอบอึ้งอั้นฝันหวามไหว
ในยามนี้เมื่อคิดถึงภาพเธอในนาทีที่ผ่านมา


และ
ราวกับมี..*สัญญา*..บางสิ่งเตือนผม
ให้รู้สึกราวกับ...
เธอคือ...
ผู้หญิงที่ผมรอคอยมาแสนนาน

หลังจาก
ผมได้ฟังคำแสนงามแสนประทับใจ
ในเวลาต่อมา
ยามที่เดินชิดใกล้เคียงไหล่เธอกลับมาณ..ที่พัก


*ฉันรักบัวบูชาค่ะ*
และ...
ศรัทธารักมั่นในคำสอน
ของพระบรมศาสดา..ศาสนาของเราค่ะ

ที่ฉันหวัง
เกิดมาชาตินี้
แค่ได้เพียรรักษาศีล ภาวนา มีสมาธิ
และ
ได้พบปัญญาธรรม พอที่จะพ้นทุกข์สุขโศก
เป็นมนุษย์เหนือโลกย์ ก็พอใจแล้วละค่ะ*



และ...
กับทุกลมหายใจเข้าออก
ขอแค่ความเย็นใส ...
ได้รู้การให้ทาน
เพียรสละออก และได้พบทางธรรมทางทอง

ที่จะพาจิตวิญญาณลอยล่องไปสู่แดนนิพพาน ที่วาดหวังไว้
จะสักกี่ภพชาติ ...ฉันก็ไม่ท้อจะขอเพียรมิสิ้นสุดค่ะ
.........


และ..นั่นคือวาจา
ที่สะท้อนงาม
ฝากนิยามแห่งดวงใจ..
*บ้านภายใน*จิตใสของเธอ..เสมอเพชร
ที่ผม...
คิดว่าคือทัศะงามเกินกว่าหญิงใดในหล้าโลกแล้ว
เมื่อเธอคนดีมีจิตดวงผ่องแผ้วประภัสสรซ่อนอยู่ราวอัญมณีเม็ดงาม

และ...
กับวันเวลาแห่ง..*วังเวียง.*..ที่คงจะราว..*เวียงวัง*
หากผมได้นั่งลงเคียงข้างเคียงคู่เธอ
เพื่อฟังเสียงจิ้งหรีดเรไรร้อง

และ
ในท่ามโอบล้อมแห่งสายน้ำระริน
ในท่ามกลิ่นดอกไม้ป่าหวานหวาน
ในท่ามบัวบานชูช่อในแจกัน
กับแสงเทียนไล้...ร่างนางในฝันในมื้อค่ำนี้


ที่ณ..บัดนี้
ผมกำลังปล่อยให้
*ดอกไม้แห่งความอ่อนหวานอ่อนไหว*
ผุดผลิคลี่กลีบกำจรจรุงรำไร 
ในหอมห้วงแห่งดวงใจคนหนุ่ม

ผู้เพียงรอวันเวลา
และ
รอท่าชะตาฟ้าดินให้ดำเนินไป...
ตามครรไลครรลองแห่งหัวใจ..!


และ....
ตามลิขิตพรหมอันแสนยิ่งใหญ่
ที่คงขีดเส้นเอาไว้แล้ว...!!!!
..................................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
ณ.วันนี้ ละครทีวี เรือนมยุรา

ญ.... ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน

ดังใจ โอ้เอยเฝ้าคอยเธอนั้น
นานแสนนาน ฮืม
จึงมาเจอกัน
คล้ายบางสิ่งผูกพัน
ร้อยใจเราร่วมกัน
ช..... ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน
ดวงใจ โอ้เอย มีเพียงเธอนั้น
นับวัน ฮืมจนแรกเจอกัน
ใจฉันเพียงต้องการ แต่เธอตลอดมา
ช ....ฝากคำสัญญา ฝากวาจา
รักเธอไม่เสื่อมคลาย
ญ ......หมื่นพันสัญญา
ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ
ช .....รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน
ญ ....คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย

พร้อม... นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป

ช ....ฝากคำสัญญา ฝากวาจา
รักเธอไม่เสื่อมคลาย
ญ ....หมื่นพันสัญญา
ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ
ช.... รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน
ญ..... คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย

พร้อม นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป
นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป...




				
1 กันยายน 2548 08:38 น.

บันทึกรักบันทึกธรรม..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song72.html



ตื่นมากับอวลกลิ่นลั่นทมริมรั้ว
กับฟ้าสลัวด้วยเงาฝนรอพรายสาย
กับ..
ร่อนร่ายระบำของหมู่ผีเสื้อ
ที่แวะผ่าน..มาดูดน้ำหวาน
จากกรายกลีบเกสร ละออละอองเรณูดอกไม้..



ฟ้างามแบบเทาทึม
ให้ล้ำลึกดื่มด่ำแบบได้อารมณ์ไปอีกแบบ

ซุกหน้านวลแนบหมอน ขาว
แล้วค่อยๆคลี่ยิ้มหวานหวาน..รับอรุณ
รับโลกอันอ่อนอุ่นละมุนหวาน
ตามใจนึกใจรัก..ใจคิด...



ขอหลับตา...นิทรารมย์อีกสักนิด..อีกสักประเดี๋ยว

พาจิตล่องเลี้ยว
คิดถึงใครบางคน..ในสายกมลสายถวิล
จากแดนดินมนต์ขลังแห่งทะเลทราย

ที่เว้าวอนชวนให้ไป..*อินเดีย..*ด้วยกัน..เมื่อคืนนี้
ไปตามรอย*พระพุทธเจ้า*
ไปเฝ้าร่ำไห้ณ..เบื้องบาทที่กุสินารา
ราวกับจะรู้ว่าหัวใจดวงนี้ปรารถนากว่าสิ่งใด



ไม่ใช่เมืองศิวิไลซ์ ปารีส หรือ ลอนดอน
หากหัวใจดวงสะออน
ชอบเมืองที่เรียบง่ายอย่างทิเบต ภูฏาน หรือ เนปาล
นานมาที่ฝันจะไปเยือนสักคราครั้ง

และ
คิดว่าคงหาเวลาได้หากเรื่องราวธุระได้เข้าที่เข้าทาง
อย่างที่วางแผนไว้



เปิดเพลง..บรรเลงรับอรุณ
และ..
หมุนหัวใจ
ให้สวยใสสดงามในท่ามโลกแล้งร้อนที่ต้องเผชิญ
คิดดี คิดให้ คิดวางไว้ ในทุกเรื่องราวร้อนรนปนกิเลส

ที่แสนว่ายวนเวียนว่าย
ช่างมากมายหลายร้อยเรื่องมิประเทืองประทับใจ

ไม่เอาหู เอาตา  เอาใจ 
พาไปสัมผัสผัสสะใด ให้ใจหมองมัวสลัวลาง

นอกจากทำทุกอย่าง...
ด้วยพลังแห่งความปิติเกษมพร่าง

ด้วยใจดวงดีดวงงาม..ดวงให้
ด้วยลมหายใจแห่งทุกอณูนาทีชีวิต
อย่างแสนมีความสุขสงบ 

ไปตามระบบครรลองแห่งชีวาชีวิต..
อย่างสมถะรู้พอเพียง
ไม่เบียดเบียนทั้งใจกายผู้ใด
อย่างแสนเรียบง่าย สวยใสฉ่ำเย็น..เป็นที่สุดแล้ว



วันนี้...ตั้งใจ
จะไปดูเรือนไทยหลังเล็กๆ 
ที่ตั้งใจจะยกไปไว้ในวิมานหล้าวนาสวรรค์

ที่ฝันจะให้เป็นดั่ง*เรือนสเตย์*
ไว้รองรับผู้คน

แล้วได้ฝากกมลงาม
ได้ต่อตามเติมใจให้
ทุกหัวใจรักผืนดินไทย
รักไสวแสงแดดสายลม
รักน้ำใจรักรอยยิ้มพริ้มเพรา
รักเหงาที่งามเงียบเรียบง่าย ได้ชิดใกล้ธรรมชาติ
ได้วาดวงชีวีพลีสอนธรรมะง่ายๆ
ให้..รู้ให้ให้...อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง..



เมื่อวานนี้
นั่งพิมพ์งานให้อดีตแม่ชี...ที่เรียนพระอภิธรรมมาแปดปี

ที่ท่านได้ฝากงามชีวีงามคำ..มาหนึ่งสมุดบันทึก
เล่าถึง*พระฝรั่ง*
ที่เคยวาดภาพ..ไว้ที่วัดเขาถ้ำ
และ
โยงใยถึง...*หลวงพ่อท่านพุทธทาส*
ที่ท่านได้นำไปเก็บไว้ให้ผู้คนได้ศึกษา*ภาพปริศนาธรรม*

ดั่งจะยกตอนหนึ่ง
ที่ท่านได้รินร่ำและอนุญาติให้นำมาเผยแพร่ได้
และยังมิได้ขัดเกลาอย่างที่ท่านร้องขอ



***********************************
*
...................
......................
ต่อมา...
ก็พระฝรั่งนั้นได้มรณภาพลงที่วัดเขาถ้ำ 
แต่ข้าพเจ้าก็ยังเป็นเด็กมากไม่ค่อยรู้อะไร
และ
คงเป็นเพราะความพิการของข้าพเจ้า
และ
ไม่เคยเห็นอะไรเลย
ที่แปลกมากที่มีพระฝรั่งมาตายลง
และไม่นานข้าพเจ้าก็เดินได้เพราะใช้ไม้เท้าได้
และ
ก็เลยพยายามเดินขึ้นไปวัดเขาถ้ำบ่อยๆเลย
เพราะ
ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ชีอมรพันธ์อยู่เสมอ



และ..
ต่อมามีพระ
ได้เอากระดูกของพระฝรั่งขึ้นมาไว้ที่ห้องของท่านเอง
ข้าพเจ้าก็ได้เดินไปดูบ่อยๆ
และ
มีเหตุการณ์อันหนึ่งมหัศจรรศ์มากเลย
ไม่น่าเป็นไปได้แต่เป็นไปแล้ว

คือว่าคุณพ่อของข้าพเจ้าได้ไปดู
กระดูกของพระฝรั่งนั้น
มีปลวกเข้าไปอยู่ในกระดูก
แล้ว
คุณพ่อก็ได้เอาไม้ทำความสะอาดปลวกนั้น
และกระดูกที่หัวไหล่แขนของท่านข้างหนึ่งหลุดไปชิ้นหนึ่ง

แล้ว
ข้าพเจ้าก็ไปดูอีกครั้งหนึ่ง
พออยู่ต่อมา
คุณแม่ชีอมรพันธ์ได้มาจากเกาะสมุย
ข้าพเจ้าก็ได้ไปนอนอีกและมีเพื่อนอีกหนึ่งคน
เพราะ


เมื่อก่อนนั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้ที่ปัจจุบันนี้
อยู่ที่ใกล้กับวัดเขาถ้ำเลย
เพราะคุณพ่อมีที่ดินเป็นร้อยไร่
เลยติดกับวัดเขาถ้ำเลยนะคะ
และ
ที่ดินวัดเขาถ้ำก็คุณพ่อดุแลให้ตลอดจนท่านเสียชีวิต
และ
ข้าพเจ้าก็ได้อยู่แต่วัดเขาถ้ำมาเสมอ
แต่ด้วยความไม่รู้อะไร
และเป็นคนพิการคนหนึ่ง
ที่แปลกมาก ก็ไปพบพระฝรั่งที่มรณภาพก็ไม่ได้คิดอะไรเลย
ก็เพราะ
ไปคุยด้วยความคิดว่าฝรั่งไม่รู้ภาษาไทย
ก็ยุ่งไปตามประสาเด็ก



ก็อยู่ต่อมา
คุณแม่ชีอมรพันธ์ได้กลับเกาะสมุย
ข้าพเจ้าก็อยู่ต่อมาอีกหนึ่งคืนประมาณเที่ยงคืน
ข้าพเจ้านอนอยู่ 4 คน
น้องสองคนและมีหลานอีกหนึ่งคน
ข้าพเจ้าก็ไม่สบายมากดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

ก็รู้สึกว่าไม่มีแขนแล้ว..ก็ได้เรียกคุณพ่อ*วัด*
บอกว่าแขนของข้าพเจ้าหลุด...!
แล้ว
ก็ไม่รู้อะไรไปอีก แล้วมารู้สึกตัว
อีกก็บอกว่าให้คุณพ่อไปตามคุณครูมงคลมาทำแขนให้
เพราะ
ท่านเป็นหมอกระดูกและคุณครูมงคลก็ได้มาดูแลตลอด
เวลาที่ข้าพเจ้าไม่สบาย

จนในที่สุดนั้นข้าพเจ้าก็ได้สลบไป 7 วัน 7 คืน




แต่ในความรู้สึกนั้นไม่ได้รับอารมณ์ปัจจุบันเลย
และ
ไม่ได้เจ็บอะไรเลยเพราะสุขสบายมาก
ไปอยู่ในที่มีความสุข
และสงบที่สุดเลยมีต้นไม้สวนมีแสงสว่างสวยที่สุดเลย
ที่ไม่มีบนโลกใบนี้เลยสวยที่สุดเลยที่บนสวรรค์นั้น
แต่..ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจ

อยู่ต่อมาอีกนานมากเลย
วินาทีชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็ได้บวชเป็นครั้งที่สาม
ด้วยความปรารถนาของตัวเอง
แต่
ก็ไม่รู้อะไร ไม่มีใคiสั่งสอนเลยทางภาษาธรรม
เขาเรียกว่าเป็นอสังขาริก
 ทั้งหมดทั้งปวงที่ข้าพเจ้ารู้ได้เพราะศึกษาธรรมที่มีเหตุผล
ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นค่ะ



ก็อยู่ต่อมาอีก
ก็ได้กลับมาอีกและเดินไม่ต้องใช้ไม้เลย
ได้กลับมา
เพราะเขาบอกว่า
ดวงวิญญาณพระฝรั่งทักเอา 
ก็หายมาอยู่ได้จนทุกวันนี้อายุ49 ปีแล้ว
และ
มีความรู้สึกว่าพระฝรั่งนั้น
ท่านมีความห่วงใยอยู่ตลอดไปเลย


แต่ว่าข้าพเจ้ารู้ได้ด้วยตนเอง
ตอนที่ข้าพเจ้าเจ็บนั้นอายุ 22 ปี เอง
นับมาจนถึงวันนี้ก็ 26 ปีแล้ว

ที่ข้าพเจ้าก็รู้ได้ด้วยตัวข้าพเจ้าเอง
เท่านั้น ไม่มีใครรู้ได้เลยจนถึงทุกวันนี้
ก็ยังมีวิญญาณนั้นอยู่
ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเสมอมา
ที่คอยตามรักษา

ข้าพเจ้าอยู่มาได้ทุกวันนี้
ก็เพราะข้าพเจ้าเป็นคน
ตั้งอยู่ในศีลธรรมด้วยเหตุด้วยปัจจัย

ครั้งแรกที่อยู่มาได้ทุกวันนี้
ก็เพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่มีบุญเรงมาแต่อดีตชาติแล้ว
ก็ได้พบเหตุ ปัจจัย ปัจจุบันนี้
ก็เลยส่งผลมาเป็นข้าพเจ้าทุกวันนี้ค่ะ


เหตุปัจจัยที่ดี ได้พบพระพุทธศาสนา ที่ถูกต้องมีเหตุผล
ของพุทธศาสนา
มีเหตุปัจจัยว่า ดวงวิญญาณมีจริงและกรรมมีจริงๆ
เมื่อก่อนข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่ากรรมคืออะไรเหมือนกัน
แต่มา
พบพระพุทธศาสนา ก็รู้ว่า
กรรมคือการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ก็เป็นกรรมได้หมดเลย
เพราะมีพระพุทธศาสนามาเป็นที่พึ่งมีเหตุมีผล
ที่รู้ตามคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้
..........
ยังพิมพ์ไม่จบค่ะยังมีต่อ..รอติดตาม
***************************




.....
และ

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในชีวิต
ที่มักได้ชิดใกล้กับคนดี ความดี
ที่เราสอง
หวังพลีชีวี
เพื่อความรักผองเพื่อนมนุษย์ทุกผู้นาม
ตามรอยพระบาทพระบรมศาสดาพระพุทธศาสนา
ยอมพลี
ดวงวิญญาญ์*ขอปิดทองหลังพระ*
มุ่งหน้าทำแต่กรรมดี

และ...
หวัง..
ฟ้าดินจะเมตตาปรานีเอื้อโอบประทานพร

นำเส้นทางทอง...สายธารธรรม
อันแสนสอาด สว่าง  สงบ
ให้ได้พบได้ก้าวเดินทุกเผชิญชีวิต...!!!!!


***********************************



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html

รางวัลชีวิต ชัชฎาพร ลักษณาเวช

พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม
คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร
ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด
ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น
ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ
ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน
ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์
ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม
โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี
ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม
หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ
ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน
สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา
กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์
หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์
เวรกรรม ทุกชาติก่อน
บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย...
.....................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song72.html

หนึ่งในร้อย นิตยา บุญสูงเนิน 


พราว แพรว อันดวงแก้วแวว-วาว
สด สี งาม หลายหลากมากนาม นิยม
นิล-กาฬ มุกดา บุษรา คัมคม 
น่า ชม ว่างาม เหมาะสม ดี
เพชรน้ำหนึ่ง งามซึ้ง จึงเป็น ยอดมณี
ผ่อง แผ้วสดสีเพชรดี มีหนึ่งในร้อยดวง
ความ ดี คนเรานี่ ดีใด 
ดี น้ำ ใจที่ให้แก่คน ทั้งปวง
อภัย รู้แต่ให้ไปไม่หวง
เจ็บ ทรวง หน่วงใจให้รู้ ทัน
รู้ กลืน กล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน
ชื่น ชอบตอบ ผล ร้อยคน มีหนึ่งเท่านั้นเอย

รู้ กลืนกล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน
ชื่น ชอบตอบผล ร้อยคน มีหนึ่ง เท่านั้นเอง...





				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด