24 กันยายน 2546 11:00 น.

ยาใจคนจน!

พุด


แอ๋นเป็นสาวโรงงาน........
ใครใครก็เรียก..สาวทำงาน..อย่างพวกเราว่าอย่างนั้น........
แอ๋นเป็นช่างเย็บเสื้อโหล..
ที่เรียกอย่างนี้.คงเป็นเพราะเย็บที่ละมากๆ..
เป็นเสื้อที่..ส่งออก..ไปขายยังเมืองไกล.
และวันนี้แอ๋น...ก็ยังโชคดี..ที่ยังมีงานทำ..เพราะคำว่า..ส่งออก....นี่แหละ.......

แอ๋น..เช่าบ้านรวมกับเพื่อน..หลังใหญ่มีหลายห้อง..
ที่เจ้าของบ้านมาซื้อไว้..แล้วไม่มีเงินผ่อน..
เลยมาปล่อยให้คนเช่า..
เพื่อเอาเงินไปผ่อนต่อ..ดีกว่าปล่อยให้แบ้งค์มายึดไป.....



ในซอยนี้ มีแต่บ้านคนที่พอมีฐานะ...
และแอ๋นคิดว่าโชคดีที่ได้มาอยู่..ดีกว่าไปเช่าอยู่ในสลัม
แอ๋นไม่ชอบบรรยากาศเสียงดังๆ...
และผู้คนมากหน้าหลายตา..ดูแออัดยัดเยียด..
แม้แอ๋น..จะพยายามเรียนได้แค่..ป4..แต่แอ๋นก็คิดว่า..
ใจแอ๋นคิดอะไรไม่เหมือนใคร...

แอ๋นคิดถึงคำพูดของครู....ที่เคยบอกว่า..
ถ้าเพียงแต่ใจเราคิดดี..คิดเป็น...ถึงเราจะลำบากยากจน.....
กัดก้อนเกลือกิน...ก็ยังดีกว่า...
ไอ้พวกที่บอกว่ามีความรู้..มีการศึกษา..แต่โกงชาติ...โกงแผ่นดิน..
ทรยศได้แม้กระทั่ง...กับ..แผ่นดิน..ที่ให้ข้าว..ให้น้ำมา.........

บ้านเช่าของแอ๋น...
.แบ่งเป็น..สี่ห้อง..ข้างบนสาม และข้างล่างอีกหนึ่ง....
ไม่รวมห้องรับแขก..ที่ทุกคนมีสิทธิ์เอามาดัดแปลงเป็นห้องครัว...
เอาไว้หุงข้าวเหนียว..และตำส้มตำ  
รวมทั้งอาหารแสนแซบซึ้ง......ลอยลมหอมปลาร้าปลาแดกไปไกล..........

แอ๋นเลือกห้องข้างล่าง....
.เพราะแอ๋นชอบตรงที่มีที่ดินด้านหน้า..และด้านหลัง..
ที่แอ๋นพอจะปลูกพืชผักสวนครัว..พวกข่า..ตะไคร้..ใบมะกรูดได้.

และรอบๆบริเวณบ้าน..
แอ๋นก็ชอบที่จะจัดกวาดให้สะอาด......
เพื่อลูกสาวตัวน้อยจะได้มีที่วิ่งเล่น.......


แอ๋นมีกัน..สามคนพ่อ..แม่..ลูก.....
สามีของแอ๋นชื่อโจ.....
ขับรถมอเตอร์ไซด์..รับจ้างคนในซอย....
โจเป็นคนบ้านเดียวกับแอ๋น......
ทำงานหนักเอาเบาสู้มาสารพัด....
ลงเรือไปหาปลา..เป็นหนุ่มตังเก..ร่อนเร่..นานหลายปี... 
ทั้งๆที่ชีวิตเพิ่งเคยเห็น..ทะเล....ก็ตอนที่จะลงเรือนั่นแหละ..

แต่จะทำยังไงได้ .....
งานดีดี..นั่งโต๊ะที่ไหนบ้างจะเอาคนที่อ่านหนังสือไม่ออก.........

หลังจากไม่ก้าวหน้าในอาชีพ..หนุ่มตังเก.ร่อนเร่.เหว่ว้า.. 
เหงาเสียจน..เห็นหน้าปลาแทบอยากจูบแทนสาว......
ติดตรงที่กลิ่นเหม็นคาว...
ไหนเลยจะเหมือนกลิ่นสาว..ที่เนื้อคงหอมละมุน........
คิดแล้วใจก็ไม่เป็นสุข...จึงจับยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋า..
เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบไปให้พ่อ แม่ซื้อนาไว้
พอหว่าน..พอไถ.......
.

และตานี้...จากชาวเรือ....ก็ไปเป็นชาวสวน.....
ตัดยางจนมาเลเรียถามหา..จึงต้องมาตายเอาดาบหน้า
ตามที่ฟ้าลิขิตชักพา......
มาพบแม่เนื้อสาวผิวคล้ำแต่ชื่นฉ่ำใจที่ชื่อแอ๋น..
น้องนางบ้านนา....เนื้อคู่..หนังคู่...กระดูกคู่
เพราะเกิดมาจนพอกัน........

โจกับแอ๋น....พลาดไปนิดเดียว 
จึงมีทายาทก่อนเวลาที่จะทันได้เตรียมมรดกพันล้านไว้ให้.........
แอ๋นจึงต้องส่งทายาทไปเรียนรู้ชีวิตชาวนาไปพลางๆ.....
จนกระทั่งโตพอ..เพิ่งจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน
และให้เรียนโรงเรียนวัด....
แต่เป็นคนละวัดกับที่ท่านนายกคนเก่าเคยอยู่

แอ๋นและโจ..มีความสุขที่ได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว 
แม้จะอดมื้อกินมื้อ....
เพราะช่วงนี้โจต้องผ่อนมอเตอร์ไซด์..เพื่อเอาไว้ทำมาหากิน.......
แอ๋นเองก็พยายามเข้าทำงาน..ผลัดกลางคืนเพิ่มขึ้น
หลังจากจัดการข้าวปลาอาหาร สอนการบ้าน 
และให้ลูกนอนแล้ว โจจะกลับมารับช่วงดูแลต่อ


แอ๋น..เกิดมา ตั้งแต่จำได้ แอ๋นรู้แต่ว่า..ตัวเองรักบ้าน..
ชอบจัดบ้านให้สะอาด.....
บ้านที่บ้านนอกของแอ๋น...ใครไปใครมาก็ชม...
เพราะแอ๋นจะกวาดเสียจนลานบ้านเตียนโล่งน่านั่ง น่านอน

อยู่ที่นี่  แอ๋นก็จัดการเสียจน..เพื่อนร่วมบ้านเช่า..
ประชดว่า  ทำทำไมให้เหนื่อย ไม่ใช่บ้านเราสักหน่อย
แอ๋นคิดว่า..คนเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน.เราก็ควร....
ที่จะสร้างโลกเล็กๆของเรา...ให้มีความสุข.....ได้เท่าเทียมกัน

การที่แอ๋นปลูกผักสวนครัวเพื่อให้ลูกสาวตัวน้อย..คอยดูแล...
และฝึกฝนให้รู้จักความรับผิดชอบ.....

แอ๋นจึง..จัดห้องเช่าของแอ๋น..ให้สวยงามเรียบร้อย  
คอยจัดกวาด เช็ดถู...เครี่องนอนก็หมั่นเอาออกตากแดด
แอ๋นคิดว่า...เวลา..ลูก..ผัว...กลับมา......
ถ้าแอ๋นมีอาหารร้อนๆ..กับที่นอนหอมๆ...เตรียมไว้ให้...
.เขาก็คงหายเหนื่อย........แอ๋นอยากตอบแทนที่ตัวเอง..
แสนโชคดี..ที่โจ..เป็นคนรักลูกรักเมีย.....ขยัน..รู้จักอดออม.....
เพื่อความหวัง.......

ว่า...วันหนึ่ง...ไม่นาน..พอมีเงินเก็บสักก้อน..
.ก็จะได้กลับไปอยู่ท้องทุ่ง..ท้องนา..ไปปลูกถั่ว..
ปลูกงากินก็ยังสบายใจเสียยิ่งกว่า...
และโจก็ฝันจะมีร้านซ่อมมอเตอร์ไซด์เล็กๆ..
พอเลี้ยงชีวิตชอบ...ไปวันๆตามประสา


แอ๋นเชื่อเรื่องความดี  มาตั้งแต่เด็ก  
และชอบเข้าวัด ทำบุญตักบาตร ปล่อยนก ปล่อยปลา........
และยิ่งเชื่อเข้าไปอีก...หลังจากที่แอ๋นมาเช่าบ้านนี้ได้ไม่นาน.

และค่ำคืนหนึ่งแอ๋นก็ฝันเห็น..ชายชรา
คนหนึ่งแต่งตัวอย่างดีมาบอกแอ๋นว่า.
จำเลขที่บอกให้ดีนะ..เจ้าเป็นคนดี มาดูแลบ้าน ดูแลข้าอย่าลืมตั้งศาล
ให้ข้าด้วย...ให้เจ้าโชคดีมีสุขตลอดไป.....และแล้วก็หายวับไป.........

แอ๋นเพิ่งจะตั้งศาล....
และแอ๋นเชื่อว่าคนดีผีคุ้มครองอย่างที่กล่าวกันมาจริงๆ..
.เพราะแอ๋นถูกหวยรวยทรัพย์
ทั้งๆที่แอ๋นไม่เคยทำความดีใดใด เพื่อหวังผล.......ตอบแทน....


แอ๋น.....จึงเชื่อมั่นในการทำความดี...
แอ๋นมีความสุขตามอัตภาพ..คิดฝันแต่สิ่งดีดี  
พยายามปลูกฝังลูกน้อยไม่ให้น้อยเนื้อต่ำใจ ในความยากจน....
เพราะถึงแม้...แอ๋นจะไม่มีวัตถุให้ลูก..แต่แอ๋นมีเวลา..มีความรัก
ความอบอุ่น ความเข้าใจมากมาย..
มาชดเชยให้แก่ลูกน้อย..ที่รักยิ่งของแอ๋น.....

คืนนี้....ก็คงเหมือนหลายๆคืน..
ที่แอ๋นได้ยินเสียง.....ข้าวของแตกกระจาย.........
เสียงบ่นว่าด่าทอ...เสียงตะโกนใส่กัน..
พร้อมกับเสียงร้องไห้จ้าอย่างตกใจของลูกๆ....
แว่วมาตามลมในยามดึก....
จากบ้านใกล้เรือนเคียงที่ดูจะมีชีวิตหรูหรา......
จับใจความได้ว่า...สามีชอบเที่ยว.
และภรรยาก็ปากจัด..ด่าเก่ง..จนสามีบ่นตะโกน.....
เบื่อๆๆ...กูจะหนี...ไปจากนรกนี่เสียที........

แอ๋น..ไม่เข้าใจเลยว่า...ทำไม..
คนเราที่ดูชีวิตเพียบพร้อมทุกอย่าง..ถึงมีปัญหากันได้.....
แต่นาทีต่อมา...
แอ๋นคิดถึงคำสอนของพ่อ....
คนแก่บ้านนอกคอกนาในสายตาคนกรุงเทพบางคน..
ที่เคยพูดไว้ว่า......

 ลูกเอ๋ย..คนเรา..จนเงินแล้ว..แต่อย่าทำชีวิต.
จิตใจของเราให้จนยิ่งขึ้นไปอีก......
เราขาดเงิน.....แต่...ใจเราต้องร่ำรวยด้วยความดีนะลูก..คิดดี..พูดดี..
ทำแต่สิ่งดีๆ..ให้กับคนที่เรารัก
ก่อนที่เราจะ......จากโลกนี้ไป...อีกไม่นาน..........

................แด่คนดี..ที่ชื่อ..แอ๋น..และโจ........
				
24 กันยายน 2546 08:19 น.

สวรรค์ลา!

พุด


สำนึกในบ้านเกิด 


คืนนี้ เขตนอนไม่หลับเลย 
กระวนกระวายใจเป็นที่สุด เร่งอยากให้ถึงเวลานัดหมาย..โดยเร็ว. 
แผนการผจญภัย ที่วางไว้ กับสามสหายคู่ใจ ก้องในหู 
รบเร้าใจและตาพากันให้อยากสามัคคีชวนเท้า 
ก้าวเดินออกจากบ้านก่อนฟ้าสาง

 แผนการนี้ เริ่มในตอนเย็นของทุกวัน 
หลังเลิกเรียนที่ เพิงพักหมาแหงน ชายทะเล 
นานเป็นอาทิตย์ ก่อนที่จะเกิด การปฏิบัติการจริง ในคืนหมาหอน . 
คืนที่ฟ้ามืดมิดเป็นใจอย่างค่ำคืนนี้.....
 

เขต..แทน..เดช และอ้วน เป็นสี่สหาย 
ที่ใครๆ พากันรู้จักดี ทั่วทั้งเกาะพะงัน......... 
วีรกรรมบวกวีรเวรมากมาย
ที่สร้างสมไว้ไม่ว่ากับคน หรือกับสัตว์ทั้งบนบกและในน้ำ 
ชวน ให้เป็นที่ตราตรึงใจในด้านลบแก่ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง..
แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ....ก็ตามที 

เขตมักตั้งตัว เป็นผู้บัญชาการรบ 
โดยไม่จำเป็นต้องผ่านโรงเรียนเสนาธิการที่ไหน ให้ยุ่งยาก มากเรื่อง
 เพราะการบัญชาการรบแบบของเขต เรียกการรบ นอกรูปแบบ..แบบเด็กๆ 
ที่บัญชาการ 
ก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของทั้งสี่คน 
ช่วยกันสร้างขึ้นมาอย่างมุ่งมั่น..... 
เป็นเพิงที่ใช้จาก..มุงหลังคา

ที่แอบไปหยิบโดยไม่บอกมาคืนละตับสองตับจากบ้านป้านวล ที่แกเย็บไว้ขาย 
เสานั้นไปช่วยกัน ลากต้นมะพร้าวที่ล้มเพราะโดนพายุ 
แล้วเอาเลื่อยมาช่วยกันตัด เป็นสี่ท่อน 
ส่วนฝาบ้านนั้นก็ใช้ทางมะพร้าวแห้งมาเรียงกัน
 และอาศัยฝีมือแสนจะปราณีตแบบ 
เด็กๆอีกนั่นแหละ....ช่วยกันทำจนสำเร็จ.... 


และแล้ว ที่วางแผนการ ระดับเด็กท้องถิ่น 
ก็เป็นรูปเป็นร่าง พอไปวัดไปวา คุ้มแดด คุ้มฝน 
ได้.....
ไม่มีใคร เฉลียวใจเลยว่า อีกไม่นานต่อมา ..
ณ..ที่แห่งนี้จะฝังฝากความทรงจำไว้ในใจทุกคน 
เนิ่นนาน...........ยากที่จะลืมเลือน......


เขตอายุ14 ย่าง 15 ปี ผิวคล้ำ สูงโปร่ง รูปหล่อ 
มีเพียงพ่อเท่านั้นที่ไม่รวยและคงไม่มี 
วันรวย ทุกอย่างที่เป็นเขตก็ลองนึกถึงพี่ชาติชาย งามสรรพ์ 
ตอนที่เป็นเด็กดำ ในเรื่องฟ้าทะลายโจร 
ก็แล้วกัน....... 


ส่วน...แทน..นั้น น่าจะเติมคำว่า..ไท..เข้าไป 
จะได้ดูเหมือนมีคุณพ่อแบบคุณเสกสรรค์ 
ประเสริฐกุล นักคิดนักเขียน นักวิชาการผู้มีอุดมการณ์ 
ที่มีลูกชายชื่อแทนไท ที่แสนเก่ง 
ตามรอยเท้าพ่อจนได้ทุนไปเมืองนอก 
ไม่รวมคุณแม่กวีซีไรท์อีกคน นี่กระมังลูกไม้ จึงหล่นใต้ ต้นไม่ห่างไปไหน.. 

แต่..แทน..คนนี้..
มีชีวิตที่ไกลห่าง จากครอบครัวนี้มากนัก 
แทนมีพ่อขี้เหล้า เดินไปเดินมา 
แทบทรงตัวไม่อยู่ มีอาชีพเป็นหมอนวด 
แต่ใครๆก็ไม่อยากให้นวด แกชื่อหมอซ้ำ 
เวลาเดินผ่านบ้านใครแกก็จะถามด้วยเสียงที่เบาแสนเบา......
นวดไม่นวด.....นวดไม่นวด...... 
และแทบทุกคนจะปฏิเสธแก อาจจะเป็นเพราะว่า
 แค่ได้ยินเสียง ทุกคนคงเกิดปุจฉา 
ขึ้นในใจทันทีว่า....แกจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมานวดให้ใคร
 เมื่อตัวแกเองพูดยังแทบจะไม่ได้ยิน 
เอาเสียเลยแล้ว.. 

แทน..จึง..ต้องใช้ชีวิตแทนให้เป็นประโยชน์ 
สมชื่อ ด้วยประการละฉะนี้.......... 
โดยการทำทุกอย่างแทนพ่อ 
รับจ้างงานทุกประเภท หนักเอา เบายิ่งอยากสู้ 
และยิ่งต้องทนสู้ ในทุกๆเรื่องเพราะแทนไม่มีแม่......
แทนเสียแม่ไปตั้งแต่แทนยังแบเบาะ 
แทนจึงบึกบึน หล่อล่ำ และขยันทำงาน 
ด้วยจำเป็นยิ่งต่อชีวิต และโดยเฉพาะต่อชีวิต 
แสนลำเค็ญนี้.

 

...เดช.....ฟังชื่อแล้วอย่านึกถึงท่านขุนนะ 
เพราะเดชนั้นไม่มีคำนำหน้าและต่อท้ายชื่อ 
เดชคือเดช แม้ในเวลาต่อมาจะมีผู้เติมท้ายชื่อ
โดยไม่มีการขอพระราชทานว่า เดชลือลั่นสนั่นเกาะ 

เดชคนนี้ค่อนข้างใจนักเลง สมชื่อ 

เป็นเด็กที่มีพ่อเป็นถึงกำนัน แบบชั่วกาลนาน 
เพราะตำแหน่งนี้ของตำบลที่มีพลเมืองไม่ถึงพันคน 
ไม่มีใครอยากรับตำแหน่งเกียรติยศ 
ที่แสนเหน็ดเหนื่อยโดย ไม่มีเงินเดือนมากมายตอบแทน..... 

คำว่าลูกกำนัน ทำให้เดชรู้สึกดีเมื่อเดินไปไหนๆ...
และเดชก็โตพอที่จะรู้ว่าลูกกำนันนั้น 
ควรจะสร้างบารมีบ้าง ให้เหมาะสม กับการยอมรับนับถือ.....
เดชพยายามทุกวิถีทางที่จะให้แทนและ อ้วน ยอมรับตัวเองมากกกว่าเขต 
ซึ่งเดชคิดว่าน่าจะไปเป็นพระเอกลิเกเสียจะดีกว่า.... 

ระหว่างเดช และเขตจึงหักเหลี่ยมเฉือนคม
 ดูเชิงกันเรื่อยมา ด้วยสมองและพละกำลัง 
แต่เดชก็ไม่เคยชนะได้เลย..... 
 


.อ้วน..อีกคนที่เราจะลืมไม่ได้เลย 
อ้วนจะเป็นเด็กอ้วนกลม จอมตุ๊ต๊ะตุ้มตุ้ยแก้มยุ้ย 
น่าหยิก ขาดอ้วนทุกคนก็เหมือนขาดน้ำ
 เพราะอ้วนจะทำให้โลกที่ร้อนรุ่มดูเยือกเย็นลงได้ 
ด้วยความใจดี ใจเย็น การพูดช้าๆและ การที่อ้วนไม่เคยโกรธใครเลย.......... 

อ้วนหนุ่มน้อยคนเดียว..ที่ดูจะมีชีวิตสบายที่สุด เพราะเป็นลูกชายคนเดียว..... 
ของตระกูลลิ้ม.....อาชีพขายหมูในตลาด...
มีฐานะพอที่จะบำรุงลูกชายคนเดียวให้เป็นลูกหมูน่ารัก 
น่าเอ็นดู อีกคนหนึ่ง.......
ส่วนหนึ่งเพราะ..อ้วนชอบกินข้าวกับกากหมูร้อนๆ ที่เตี่ยเจียวเพื่อเอา 
น้ำมันไปขายที่ตลาด...และที่น่ารักที่สุดคือ
อ้วนจะแบ่งปันทุกอย่างให้กับ..แทน..และเขต..
ด้วยความดี..มีน้ำใจต่อเพื่อน.ผู้ยาก.....  


อ้วนทำให้แทนแสนซาบซึ้งใจ...
ในวันหนึ่ง เมื่อแทนหมดทางที่จะหาเงิน..มาจ่ายค่าเทอม... 

เย็นวันที่แทนสิ้นหวัง...และอยากสิ้นใจ เพราะสิ้นหนทาง....
แสนอับจน ข้นแค้นใจในเวลา ที่ใกล้จะต้องสอบเทอมใหญ่...........
อ้วนปรากฏตัวขึ้น....หน้ากระท่อมโย้เย้ของแทน......... 

พร้อมหิ้วถุงกรอบแกรบยู่ยี่มาส่งให้เช่นทุกวัน....
แทนเปิดดูคิดว่าคงเป็นกากหมู.......... 
หรือไม่ก็เนื้อหมู ที่อ้วนแอบเตี่ยเอามาให้แทบทุกเย็น............... 

แต่....มันกลับกลายเป็นหมูออมสิน แสนหนักอึ้ง.....
นาทีนั้นทั้งคนที่คล้ายลูกหมูและ 
หมูกระเบื้องออมสินแสนหนัก....
ทำให้ความหนักใจของแทนโบยบิน...รู้สึกใจเบาสบาย 
น้ำตาเอ่อล้น..เมื่อตบบ่าเพื่อนรัก..ผู้มากล้นน้ำใจ......... 
โดยไม่สามารถหลุดคำพูดใดใดออกมาได้........................ 

อ้วน...เป็นผู้ฟังที่ดี..เพราะพูดติดอ่าง.....
เป็นผู้ตามที่ดีเพราะเดินช้าด้วยสรีระที่เป็นอุปสรรค 
ทุกอย่างที่เป็นอ้วน ล้วนแล้วแต่ดูน่ารัก น่าชัง น่าหยอกเย้า ในสายตาเพื่อนเสมอ....... 


แผนการที่ สี่สหาย..คิดกันไว้ 
ตั้งใจจะไม่ยอมให้อ้วนร่วมสังคกรรมด้วย....เพราะกลัว 
จะเสียแผนจากการเคลื่อนไหวช้า 
ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งยวด ............. 
.ต่อปฏิบัติการแห่งคืนหมาหอนนี้........
ที่กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง..... 
ของเกาะพะงันแสนงาม......แห่งนี้................. 



ฟ้ามืด.....เงียบ......ดาวค้างฟ้า......ลมหยุดนิ่งไม่ไหวติง................ 

ร่างของหนุ่มทั้งสี่....ดำทะมึนในเงามืด....
ค่อยๆคืบคลานไปสู่เป้าหมาย......... 
เงียบจนแทบไม่ได้ยินเสียงลมหายใจ...

นอกจากอ้วนซึ่งพยายามเงียบก็ยิ่งดูเหมือนจะหายใจ 
ดังกว่าใคร..ด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องคลานไป 
ตามก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ.ริมหาด 
ในเวลาที่ทุกคนควรจะนอนหลับกรนอยู่บนที่นอนแสนสุข.เสียมากกว่า........ 

เขตหันไปมองอ้วน....อยากให้จอมยุ่ง..
.หันหลังกลับ ถอนตัว ถอดใจเสียกลางคัน..... 

หารู้ไม่ว่า...ใจอ้วนตอนนี้นั้น ..
มีแต่เสียงของเขตก้องในหู....กระตุ้นกาย...กระตุ้นใจ.... 
ให้ฮึกเหิม..ลืมทุกสิ่ง.....


.ทบทวนแผนปฏิบัติการ..ก่อนการลงมือจริง......... 
เราทุกคนต้องเงียบอย่างที่สุด.....พอเข้าใกล้เป้าหมาย....ให้ระวังหมาให้ดี........ 
เดชต้องโยนก้อนเนื้อออกไป...อย่าลืมไม่กี่นาที...มันจะสลบไป...... 

และเราทุกคนรีบไปหลังก้อนหินใหญ่ ริมบังกาโลว์ ตามที่ ปิ๊ดมันสืบมา...... 
ช่วยกันงัดหินที่ปิดปากหลุมหลอกๆไว้ตามตำแหน่ง...บนแผนที่ที่เราดู.... 
พวกนายจะได้เห็นของจริง....เราจะดูให้เห็นกับตาโดยใช้ไฟฉายสำรวจอย่างรวดเร็ว 
แน่ใจว่าใช่.....รีบจัดการให้เหมือนเดิม....ย้ำเงียบ.....เงียบทุกขั้นตอน........ 
ไม่มีร่องรอย.....ชัดเจนมั้ย....ย้ำ...ข้องใจมั้ย.....และรีบออกจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด....... 


อ้วนหนาวสั่น....ในใจ......
ด้วยความรู้สึกหลายอย่างประดัง......... 
เขต..แทน....เดช...เงียบราวไร้ความรู้สึก...จากเพื่อนที่หยอกเย้าเซ้าซี้.......... 
กลายเป็น..... เงียบ .......จนแทบไม่ได้ยินเสียงลมหายใจ............ 

จากริมหาดที่ต้องเดินเลียบโขดหิน..คลานหลบๆซ่อนๆไปตลอดทาง.... 
ทำให้ใจทุกดวง....หนักอึ้งด้วยความระมัดระวังตัว............... 

ใกล้เป้าหมายเข้าไปทุกขณะ......
. 

จันทร์ไร้แสง.....ดาวลอยต่ำลง.....อากาศเย็นเยียบ...จับขั้วหัวใจทั้งสี่ดวง........ 
ความคิดสับสนไปคนละทาง........
.เขตจำได้ถึงคำพูดก่อนลงมือของทุกคนดี........ 


.เขต.....เราไม่รู้ตัดสินใจถูกรึเปล่านี่....
แต่เรากำลังทำสิ่งดีๆ เพื่อบ้านเกิดของเรา 
เราอยากเป็นฮีโร่กันไม่ใช่เหรอ..
หากพรุ่งนี้แน่ใจแล้วเราจะพากำนันมาให้เห็นกับตาเลยเชียว 
แกคงตะลึงจนพูดไม่ออก.......... 

แทน....เราได้ช่วยเพื่อนมนุษย์วัยเดียวกับเรา...
แกบอกว่าทำดีเราจะได้ดีไม่ต้องกลัว 
.และบางทีเราอาจจะได้ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องค่าเทอม..ถ้าเค้ามีรางวัลให้บ้าง... 

 เดช.........พ่อเราคงเลิกด่าไปหลายวัน
ที่เอาแต่มาสุมหัวกันทุกเย็น..พ่อน่าจะภูมิใจนะที่เรา 
ได้ช่วยพ่อทางอ้อมให้มีผลงานบ้าง......... 

 อ้วน........นี่คือความทรงจำที่ดีที่สุด 
ที่เราทั้งสี่ คนช่วยสร้างมันขึ้นมา เพื่อบ้านเกิดของเรา 
ก็แกบอกไม่ใช่เหรอ 
ชาตินี้ทำอะไรดีๆบ้าง ดีกว่าเอาแต่กินจนจะเป็นหมูแล้วไง 
กลัวเตี่ยจะด่า.แค่นั้น หาเรื่องยุ่งอีกแล้วสิ...........


เป้าหมายใกล้ราวร้อยหลา ริมชายหาดสวย...
จะมีบังกาโลว์เป็นระยะปลูกติดกับ 
ก้อนหินอิงธรรมชาติงาม ไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ.......... 

เสียงสุนัขเริ่มเห่า.......
ก่อนที่ทุกคนจะทันตัดสินใจทำอะไร......... 
เดช.....ช้าจังไอ้ห่าเอ๊ย.......หาพระแสงอะไรอยู่วะ........ 
เขตตะคอกด้วยเสียงกระซิบ......เสียงเดชกระเส่าราวจะขาดใจ......... 
....เนื้อหาย....สงสัยตอนคลาน มันหลุดจากถุง........... 
.....ตายละซีมึง....ทำไมวะ....
เขตตะคอกแทบไม่เป็นภาษามนุษย์....และทุกคน 
หัวใจแทบหยุดเต้น...ด้วยความกลัวสุดชีวิต........ 
พร้อมๆกับเสียงหมาเห่ากระชั้น...เข้ามาใกล้ทุกขณะ....ใกล้เข้ามา.... 
เขต....ตะโกน...บอกทุกคน...วิ่ง.....วิ่ง....วิ่ง...หนีเร็ว......วิ่ง...วิ่ง.....เร็ว........................... 
ทุกคนหันกลับหลัง.....วิ่ง ...วิ่งสุดชีวิต....สุดหัวใจ ให้พ้นทั้งหมา...และคน........ 

.แต่ช้าไปเสียแล้ว......สำหรับอ้วน............. 
แสงจากปลายกระบอกปืน......เปรี้ยง......ปัง......จนแสบแก้วหู.......... 

ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตระหนก............ 
ร่างของอ้วน....ทรุดลงไปกองกับพื้นทราย.............. 
พร้อมๆกับ สิ้นเสียงปืน............. 
หัวใจของหนุ่มน้อยทั้งสาม กำลังจะหยุดเต้นไปพร้อมๆกับเสียงร้องโอ้ย............ 
อย่างเจ็บปวดของอ้วน....................... 


เสียงฝีเท้าวิ่งตรงมา.....
.แสงไฟจากกระบอกไฟฉาย พุ่งมาจากทุกทิศ ทันทีที่ทุกคนได้ 
ยินเสียงปืน....

รายล้อมรอบร่างของเด็กหนุ่มทั้งสี่ เขต แทน เดช........... 
และอ้วน..ในอ้อมกอดของเพื่อนทั้งสาม...
.ด้วยร่างชุ่มโชกไปด้วยคาวเลือด........ 
ที่กำลังหลั่งรินรดตกต้องผืนทรายขาว.....แดงฉาน........
....... 


ฟ้าเงียบงัน....... 
ดวงดาวราวร่ำไห้..... ลมไม่ไหวติง............... 

ใจของแทน...เดช.....และเขต...
กำลังแหลกสลาย....ยับ...ตามไปกับเพื่อนยาก...... 
ผู้...หลับตานิ่ง....ใบหน้าแย้มยิ้มอย่างคนใจดีที่เคยเป็น.
พริ้มเพรา...ภาคภูมิ....
ต่อสิ่ง ที่ได้เลือกตัดสินใจทำ...
ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง......ด้วยใจดวงบริสุทธิ์...ใส.......... 
สวรรค์......โอ้สวรรค์.....เท่านั้นที่จะรับรู้....รับรู้และรอรับ................ 





เสียงปืนทำให้ทุกอย่างสิ้นสุดลง.......
หลักฐานที่ไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ทัน..... 
เพราะการตัดสินใจชั่ววูบจากเจ้าของปืน
ที่ต้องการปกป้องเฮโรอิน มูลค่ามหาศาล 
ที่ฝังซ่อนไว้ใต้หินงาม รอจำหน่าย 
ที่เขตได้นำทุกคนไปพิสูจน์ในคืนนั้น....... 
ที่ซึ่งทั้ง สี่สหาย หมายมาดใจว่าจะช่วยให้คนดีๆ 
หลุดพ้นจากการตกเป็นทาสยานรก 

ที่ที่.....อ้วน ฝังฝากใจ แสนดี แสนงาม แสนซื่อ 
ไว้ให้ผืนปฐพีงาม........... 
ด้วยสำนึกต่อบ้านเกิด....ที่ควรค่าแก่การคารวะเป็นยิ่งนัก....หนุ่มน้อยคนดี
 
....................................................................................................... >

เขียนเรื่องนี้ ด้วยแรงบันดาลใจ 
ในสำนึกต่อปัญหาของบ้านเกิดที่นับวันจะรุนแรง 
ทวีมากขึ้นด้วย...ยาเสพติด....
ที่กำลังจะเปลี่ยนเกาะสวรรค์..ให้เป็นเกาะนรก......

				
23 กันยายน 2546 15:43 น.

กระท่อมใบไม้!

พุด



กระท่อมใบไม้..
แฝงตัวอยู่บนเนินผา ในหุบเขา..พะงันงาม..
ที่ปกคลุมด้วยพันธุ์ไม้เมืองร้อนนานาชนิดสูงใหญ่ เป็นช่อชั้น
ราวป่าดงดิบสลับสล้าง..ใบไม้เขียวพร่างระยิบระยับ..ไปทั้งราวป่า
และ...
งามจับตายามถึงคราฤดูใบไม้เปลี่ยนสี...ที่มีเสียงจิ้งหรีด เรไร
ดนตรีไพรดนตรีธรรมชาติและสายลมอันอ่อนโยนละมุน
หอมกรุ่นกลิ่นดอกไม้ไพร..อวลไกล..ในยามค่ำ..
.....
ยามเช้า...
ยามอุษาฟ้ากระจ่าง..
เมื่อดวงตะวันสาดแสงสีทอง อันอ่อนอุ่นมาแตะแต้มทายทักโลก..
มวลหมู่นกกา..พลันพรึบพรูโผผินบินว่อนร่อนจากรวงรังออกหาเหยื่อ..
..

สัตว์ป่านานา..ก็พากันเที่ยวท่อง..
จดจดจ้องจ้องออกล่าเหยื่อ..เฉกเช่นกัน
เป็นวิถีอันเป็นธรรมชาติเพื่อดำรงรอด..

ไพรกว้างเงียบงาม....
ซ้องผสาน..เสียงเพลงไพรเสียงสัตว์ไพร ขับขาน
ทั้งดุร้ายและหวานเศร้าคละเคล้าดำดิ่งลึกล้ำงามเงียบไห้ไหยหวน.
สู่ห้วงหฤทัยผู้รักไพรพงเป็นชิวิตจิตใจ..

ธรรมชาติ..เปิดม่าน..
หวานหวานหว่านมนตราเริ่มตั้งแต่ยามทิวา อรุณรุ่ง
มุ่งสู่ราตรีที่ฟ้ากว้างประดับด้วยทางช้างเผือก..
ระดะดาวพราวพร่างเต็มอ้อมฟ้าเต็มอ้อมฝัน..พริบพราวเคล้า
นวลจันทร์กระจ่างฟ้า..เล้าโลมหล้าโลก
ให้มวลมนุษย์คลายโศกหรือยิ่งเศร้าหม่น 
สุดแต่คน..แต่ใจใคร..จะไขว่คว้า


กระท่อมใบไม้..
งามง่าย หลังคาจาก โครงเคร่าใช้ไม้มะพร้าวที่หักโค่น..
มาเป็นเสาค้ำตั้งรับสอดประสาน...ใช้ทุกส่วนให้งามอย่างคุ้มค่า
ฝา..คือไม้ไผ่ขัดแตะอย่างละเอียด
และยิ่งละเมียดละไมด้วยเสื่อจูดสานสวยซ้อนทับ..อีกชั้น..
กันสายฝนแรงรับลมพายุ..

ไม่มีโต๊ะ ตั่งเ ตียง..มีเพียงเสื่อสานละเอียดปูฟูกที่นอนขาว กับหมอนอีกใบ..
มีมุ้งที่บัดนี้หอบขึ้นไปผูกไว้ ยามมิได้ใช้งาน..ก่อนนอน..

หัวนอน..
มีขอนมะพร้าว..เตี้ยๆไว้วางของจุกจิกไม่กี่ชิ้นจำเป็น
มีตะเกียงเทียนเหลือเทียนครึ่งเล่ม..เพียงนั้น
กับขันทองเหลืองที่เจ้าของกระท่อมทับ
ใช้จัดใส่ดอกไม้ไทยรายรอบนานาพรรณ 
ที่บัดนี้พลันพากันมาหอมอวลคละคลุ้ง จรุงไปทั่วทั้งกระท่อม

กับสายลมเย็นยามค่ำ
กับยามที่พรายวสันต์เพิ่งราเม็ดพร่างพรมห่มไปทั่วทั้งราวไพร..ให้ฉ่ำเย็น..


ทางขึ้นกระท่อมนั้น..
ดังพรมสวรรค์สีเขียว..ของหญ้ามอสส์สอดแทรก
ตามปุ่มปมหินแง่งาม ที่เกาะเกี่ยวให้ไต่ตาม ค่อยๆเลี้ยวเลาะ..
ให้สงบ..ให้ผ่อนคลาย ...

ทุกก้าวย่าง...ในอ้อมเขียวเรียวไพลเรียวใบไม้ไหวระยับ..
ทุกฝีเท้า..ของผู้โชคดี...
ที่ได้ละลดวางและหลีกลี้หนีจากความวายวุ่นจากสังคมเมือง..

เสมอเหมือน
กำลังได้สลัดแอกใจ อันอ่อนล้า 
ที่โหยหา แสวงหาธรรมชาติเย็น..
ชุบชื้นชื่นชีวีต..ชุบดวงจิตดวงใจ 
ชุบจิตวิญญาณ ชุบใสงามดื่มด่ำฉ่ำเย็น
ให้ระรินไหลเข้าเบื้องลึกภายใน 
ให้พลันสดใสตระการราวแก้วงามแก้ววิเศษ

ที่จะพรายพร่างนำทางใจ..สู่ สว่างใส สงบ.พบ.ร่มชีวี..
ที่ดั่งหยาดน้ำทิพย์..ที่ละลายร่าง ไร้ร้างตัวตน 
ให้ห่างจากความยึดมั่นถือมั่น
ในทุกวันทุกสิ่งมากมีที่ไม่จีรังยาวยืน..


ร่างกาย..
ร้อนรน..ได้ผ่อนคลาย
ดวงใจได้นิ่งงันผ่อนพัก พึ่งพิงธรรมชาติไพร
เกิดใสงามสวยสดเป็นธรรมดาใจธรรมชาติงาม..อันมิรู้สิ้นรู้จบ
.........
เส้นทางสายสวย..สู่กระท่อมใบไม้.
ราวเส้นทางสายสวรรค์สรวง

กระท่อมใบไม้ ...ที่ไร้ร้างในสายตาคนเมือง
ผู้นิยมวัตถุมากมี..หามาประดับบารมีให้เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตา.

กระท่อมใบไม้..
ที่ไม่สิ้นเปลืองผลาญพร่าทรัพยากรธรรมชาติ
หากเพียงแค่ได้เอนอิงเอื้อโอบใจไปพร้อมกัน..เป็นหนึ่งเดียว..
ให้นวลเนื้อใจละไมละมุน..ในงามง่ายนั้นมิมีวันสิ้นสุดรัก..สุดงาม!
...........

กลางกระท่อม..
กลางเงาเทียนวูบไหว
ในร่มเงาไม้ให้สงบเงียบ

มีร่างงามเรียบนอนสยายผม
มีดวงดอกไม้แนบนวลแก้ม
มีเรียวรอยยิ้มพริ้มพราย 
คล้ายรอรับจูบละเมียดละไมจากชายในฝันในดวงใจ..
.....................

ตามมาสิทุกดวงใจ..
มาฟังเสียงนกไพร
ฟังเสียงดุเหว่าแว่วหวาน
ดูเงาดาวทอแสงนวลใย
แข่งกับหยาดเพชรพราวในดวงตาดวงใจของนางไพรอันเป็นที่รัก
ยามสะอื้นอ้อนหารักครางครวญ..

พระจันทร์หวานคงอิจฉา..
ราตรีคงเงียบงัน...
ฟากฟ้านั้นเลิกหมองหม่นชั่วครู่
ลมคงหยุดพัดไหว ใบไม้คงปลิดปลิวโปรยพร..เพื่อสองเรา..ตราบชั่วกาล..

				
22 กันยายน 2546 16:35 น.

ตามหากวีกระวาดไทย!

พุด



เขียนตามหาดวงใจกันสดสด
ใช้หยดเลือดรักและเลือดฝัน
มาตามหามาห่วงใยคนรักกัน
เคยผูกพันรัดร้อยด้วยสร้อยอักษรา..
เริ่ม..
ดอกคูนไปคูนใครเพิ่มเป็นสาม
คูนอย่านานหวานบอกมาไม่อิจฉา
ม้าอีกคนหายไปไหนให้ใครขี่จงบอกมา
เรือนไทยเหว่ว้ากลับเสียทีหนีนานจัง..

คุณหมอวฤกขารักษาคนทางนี้บ้าง
ใจอ้างว้างรอคำคมกมลหมอ
สายณธีร์ไหลเร็วรี่นานเกินรอ
นายดอกไม้หนอบานหนาวไหนไยไม่มา

ผลุบๆโผล่มาโนชกลับมาแล้ว
อีกเพื่อนแก้วเพื่อนไพรไยหนีหน้า
พนาไพรเขียนไพรไพรไม่กลับมา
พุดพัดชาเขียนกลอน..นี้มีคำว่า..กลับกลับมามากจังเลย..!



ช่วยมาเติมชื่อคนหายจากบ้านเรือนไทยกันหน่อยนะคะ
ให้รางวัลนำจับนำใจกลับค่ะ
  เธออยู่ไหน   
สุเทพ-สวลี : : Key C  
ญใครคนนั้น ที่ ฉัน ฝันถึงเขา
ใครคนนั้น ยิ้มเศร้าเศร้า เขาอยู่ไหน
ใครคนนั้น ที่ฉันรัก เหมือน ดวงใจ
อยู่ที่ไหน นะจันทร์ ฉัน หลงคอย
ชอยู่ที่ไหน ไม่สำคัญ หรอกขวัญ จิต
โปรดจงคิด ถึง กัน สักวันละหน่อย
อาจแทรกอยู่ กับน้ำค้างตาม ดาวลอย
อาจจะยิ้ม อย่างละห้อย คอยสัมพันธ์
ญเธออยู่ไหน
ชฉันอยู่นี่ ที่รัก จ๋า
ญเธออยู่ไหน ชในดาราคือตาฉัน
ญเธออยู่ไหน ให้ฉันเห็น เป็น สำคัญ
ชที่กลางใจ เธอ นั้น คือฉันเอย
ญเธออยู่ไหน
ชฉันอยู่นี่ ที่รัก จ๋า
ญเธออยู่ไหน ชในดาราคือตาฉัน
ญเธออยู่ไหน ให้ฉันเห็น เป็น สำคัญ
ชที่กลางใจ เธอนั้น คือ ฉัน เอย... 				
21 กันยายน 2546 23:38 น.

ปีกหัก!

พุด



นั่งเฉาเฉยอยู่ทำไมให้ใจเหงา
ลุกเลยเราตัดต้นไม้ให้งามแฉ่ง
นั่นเถาวัลย์เลื้อยพันช่อชูดอกแดง
ปล่อยให้แฝงเป็นร่มเงาเรางามใจ..

สร้างระแนงให้ไม้เลื้อยเปลือยดอกหวาน
สายน้ำผึ้งบานล้อพรายฝนสุดทนไหว
หอมพิลาสดอกงามซึ้งตรึงดวงใจ
ต้องเอื้อมไปเก็บมาดอมหอมสักที..

ตามองดอกไม้เท้าเหยียบระแนงร่วงราวนก
ใจเราตกตาตุ่มแล้วคราวนี้
ลื่นถลาจากชายคาคว้างชีวี
จับอะไรดีมีกระจกกว้างร่างแหลกแล้ว!..

ลอยละลิ่วปลิวลงมานกปีกหัก
ดาวทายทักเต็มฟ้าเกลื่อนเศษแก้ว
เรานอนค้างร่างพาดรับกับรั้วแนว
พร้อมเศษแก้วกระจายพร่างกลางร่างเรา!..

วิทยายุทธิ์สาวบ้านนาหากลัวไม่
ลุกว่องไวตรวจตราลืมเลยเหงา
มีอะไรบุบสลายในตัวเรา
โอ้หลงเงาดวงดอกไม้เกือบวายปราณ!...
.................


เรื่องจริงนะคะ..
ไม่น่าเชื่อเลยว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
ชั่วพริบตา หากเราประมาท..
สองครั้งคราแล้วกับระเบียงบน ที่ไพลตกลงมา
เพราะตาและใจไปสามัคคีลอยละล่องละลิ่ว
ปลิวไปดอมดมอยากชื่นชมภิรมย์รักดวงดอกไม้แสนหวาน
ที่บานไกลมือ ที่มิใช่ใกล้มือ..
........
และครั้งแรก..กับ
หนึ่งเดือน กับการเข้าเฝือกอ่อน
กับร้าวรอนราวนักโทษถูกพันธนา
จากคนทำอะไรๆเร็วรี่ราวจะวิ่งฉิวปลิวลม
กลับมานอนซม ระทดระทวย
หยอดน้ำข้าวต้มผสมดื่มใบบัวบกแก้ช้ำอกช้ำใจที่ไปไหนไม่ได้เลย
บางเวลาต้องทานยานอนหลับเพราะคันมาก
ต้องใช้ตะเกียบล้วงควัก หักไปหลายอัน
(อันนี้เป็นการรักษาเองตามใจฉัน..นอก..รอบ..แบบคุณหมอไม่ได้บอกไม่ได้สั่ง)
แต่เชื่อไหมว่า คนที่เคยใส่เฝือกมาจะรู้คุณค่าเข้าใจคุณค่าตะเกียบแทบทุกคน
คงมีบ้างที่ใช้อย่างอื่นแทนเช่นหยอดแอลกอฮอล์ 
สูตรคุณหมอที่ทำให้เย็นและ
ไม่เป็นแผลก่อนปอกเปลือกเฝือกออกมาในเวลาอันสมควร
และไพลคิดถึงคุณคริส มากที่เข้าเฝือกเป็นปีแทบทั้งตัว..นะคะ
และ...
ห้าเดือน กับการที่ต้องกินแคลเซี่ยม บำรุงกระดูก 
สร้างรอยต่อให้เนียนแนบเหมือนเดิมแต่กลัวจะเพิ่มงอกออกมาในที่มิควร 
ต้องกินแบบดูตาม้าตาเรือให้ดีตามที่คุณหมอสั่งนะ
และต้องรอ..ต้องหยุดเต้น
แบบนกกระเต็น กระเด็นกระดอน เด้งๆดึ๋งๆ สักพัก
จนกว่าปีกที่หัก..เอ๊ย..กระดูกที่ร้าวจะเข้าที่..เข้าทาง
 แม้นมิอาจดังเดิมแบบธรรมชาติ..แบบแม่พ่อให้มาก็ตามที..เหอะนะ
.......
บทเรียน..ครานั้น ทำให้ไพล หันมารู้คุณค่าอวัยวะสามสิบสองประการ
ที่ฟ้าดินเบื้องบนแม่พ่อประทานให้มาครบเครื่องเป็นอันมาก..ที่มิขาดไม่มีเกิน
เลยหันมารักเท้าแบบไม่ค่อยอยากให้ติดดิน 
ค่อยๆวางมิให้กระแทกกระทั้นกระทบกระเทือน
เห็นใครใส่รองเท้า ไม่ดีที่ดูที่ท่าจะทำร้ายเท้า 
ไม่ได้รักษาสุขภาพ ไม่ให้ความสำคัญสนใจเท้า
ไพลแทบอยากไปไหว้ให้ลองใส่เฝือกสักวัน
หรือลองแกล้งทำขาหักสักชั่วโมง..
หลังจากนั้นค่อยว่ากันว่าควรน่าจะหันมาให้ความรักทะนุถนอม
(ดอมดมพรมจูบเท้าด้วยรักชักมากไป..อันนี้ค่ะ)
......

มาวันนี้..
เจ็บไม่พอ ขออีกสักที.ค่ะ..เหมือนชื่อเพลงพี่แจ้เลยนะคะ
แต่..สำหรับไพลต้อง ตกไม่พอ ขออีกสักทีค่ะ..
ฉากนี้ ขอข้าพเจ้าเป็นนางเอกผู้น่าสงสาร เทคซ้ำ..เล่นคนเดียวค่ะ
แถมไม่มีผู้กำกับ ไม่มีคนดู รับบท..
นกปีกหักร่วงควะคว้างร่างลอยละลิ่วน่าสยองขวัญ
น่าหวาดเสียว ว่ากระจกนั้นจะเสียบแทง..
ให้ห้อยต่องแต่ง สยึ๊มกื๊อสะดือโหวเหว..มิน่าเสน่หาอีกต่อไป..เลยแล้ว
..........
นาทีนี้..ที่ผ่านความเสียวสยองมาหยกๆ
ไพล..กลับคิดถึงกวีกระวาดไทยโพเอม
ที่ชอบเขียนถึงนกปีกหักเปรียบเทียบกับรักร้าว
น่าจะถามไพล..ดีกว่านะว่ามันร้าวแค่ไหนกับตกใจและเสียขวัญ
ที่อันอยู่ดีไม่ว่าดี..ต้องเกือบกลับมากินน้ำใบบัวบกแก้ช้ำอกอีกหนอีกครา..

ภาพไพล..เหินหาว สองเท้าลอยคว้าง และข้างล่างคือกระจกตลอดแนว
รอรับร่าง..โชคดีนะที่มีช่องว่าง ให้ตกลงมากระแทกรั้วเฉียดฉิว
แต่กระจกบานหนึ่งแตกกระจาย 
คงได้รับแรงถีบจากขาแข็งแรงจากจอมยุทธน้อย
ผู้ชอบฝึกห้อยโหนเป็นลิงค่างชะนีมาก่อน..หน้า..
ยามเยาว์วัย..ที่เหตุการณ์วันนี้นั้น
ทำให้ภาพนั้นดั่งย้อนหวนคืนกลับมา กับวีรกรรมหาญกล้า
หรือวีระเวรเราเองก็มิอาจรู้ได้..
........

เช้างามวันหนึ่ง ที่คงจะตราตรึงในความทรงจำ
ที่มิหวานหอมหากตรอมใจเสียละมากกว่า..
วันที่ไพลเห็นคุณยายแก่ๆคนนึงกำลังกระเย้อกระแหย่งสอยมะม่วงต้นสูงใหญ่
ลำต้นคนโอบแทบไม่รอบ..ที่กำลังออกผลพราว
ไพลรีบอาสา ด้วยความแก่นแก้วอยากเป็นนางเอกสาวผมเปีย
ผู้มากมีเมตตา มากเสียสละ มากน้ำใจ 
อย่ากระไรเลย...
คุณยายขา..มาค่ะหนูจะปีนขึ้นไปเก็บลงมาให้นะคะ
คุณยายจะได้ไม่ปวดคอไงคะคุณยายจะได้เอาไปตำน้ำพริกอร่อยๆเร็วๆไง.
คุณยาย..ไม่แน่ใจ.มองหน้าขาวๆใสใสสลับมองเท้ากระดำกระด่าง..ก่อนถามย้ำ
ซ้ำๆให้แน่ใจ ..เจ้าปีนได้แน่นะ..
โถคุณยาย ไว้ใจเถอะค่ะ หนูนะปีนต้นไม้มาแทบทั้งเกาะแล้วนะจะบอกให้
(นี่แนะ นี่แนะ รู้ไหมหนูรีบโม้เพราะกลัวจะไม่ได้แสดงวิทยายุทธิ์นะซี
ที่จะลองปีนให้สุงสุดถึงยอดเลย..อิอิ  
ทีของหนูโอกาสของหนูแล้วนะ ไม่ว่ากันนะคุณย้ายคุณยาย)
........
หลังจากนั้น ไม่นานค่ะ ดีที่ว่าคุณยายยังได้รับประทานมะม่วงมากพอ
สลบค่ะ..ตกลงมาสลบ และนอนระทดระทวยแบบเดินไม่ได้นานเป็นเดือนๆ
เช่นกัน..คิดแล้วยังขำมาก ที่โกรธเพื่อนนะ 
เวลาได้ยินเสียงกลองมโนราห์แล้วไม่มีใครมาหามไปดู
ได้แต่นอนช้ำใจฟังไป..
แล้วจินตนาการว่าป่านฉะนี้แม่นางมโนราห์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคงร่ายรำม้วนตัวตลบ
อ่อนช้อย ไปนอนขดร่างกลมดิกไม่มีกระดูกไปแล้ว..แน่ๆเลย แล้วจะไม่ให้โมโหได้ไงเนอะ..
เสียงกลองเสียงกลับออกระรัวให้หัวใจเต้นตูมตามปานนั้นนะ..
..........

มาวันนี้..
ตกอีกที เจ็บอีกทีแบบไม่ซ้ำที่ซ้ำท่าค่ะ..
และณ..ที่แห่งนี้ที่ระเบียงบน ที่ไพลใช้หว่านมนตรารจนารักดวงดอกไม้
ก็เกือบได้..สังเวยชีวิต..
..และ
ที่รัก..
คุณคงเหมือนฝันไป..
คุณคงไม่อยากเชื่อว่าชั่ววินาทีที่เราเพิ่งคุยกัน
ไพลอาจพรากจากคุณกระทันหัน
คุณคงร่ำไห้ ตามประสาคนบ่อน้ำตาตื้น..
สะอึกสะอื้นดายเดียว..ว่าไม่น่าเลยที่ใจดำ..
มิทันได้บอกหรือแสดงว่ารักไพลให้มากไปกว่านี้..
แต่คนดี..
คุณ..คงไม่ช้ำใจนาน เพราะระหว่างเรา
พูดถึงเรื่องความตายคล้ายดั่งเรื่องธรรมชาติธรรมดาๆ
ที่พาให้เราแค่หลับฝันไปเพียงชั่วคืน..
สิ่งยาวยืนที่เรามักเห็นพ้องต้องกันคือ..การทำความดีให้มากพอที่เราจะไม่เสียใจ
ไม่หวนไห้อาลัยอาวรณ์ใครผู้อยู่เบื้องหลัง..เพียงนั้น
เพราะเราได้ดำรงร่าง ดำรงรักอย่างผู้จักมีธรรมครองเนื้อใจ
แล้วทำไม..จะเสียใจเสียดายแค่ร่าง.
เราควรเพียรสร้างจิตวิญญาณให้งามพร้อมเพื่อตามติดรอรับเราในภพใหม่ภพหน้าท่ามี
มิดีกว่าหรือไร..
ให้หัวใจเราสองได้กลับมาครองรักอันเป็นนิรันดร์..
เสมอฝันเสมอใจดวงงาม..ตราบชั่วกาล..กัปป์กัลป์..
หากกุศลจิตเรานั้นมากพอนะดวงใจ..นะคนดี..
..............
และ..นี่คือสิ่งที่อยากกระซิบฝากถึงทุกดวงใจในวันนี้ในนาทีนี้นะคะ
อย่าประมาทกับทุกส่วนเสี้ยวของวินาทีชีวิตอันแสนดีมีค่าที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ในร่มเงาพุทธศาสนา..ที่ได้มาพบเพียรสร้างธรรมอันงามล้ำอันเป็นทางพ้นทุกข์
และหากมิอาจจะไปไกลได้ถึงฝั่งฝัน..ฝั่งแห่งความว่าง ความไม่มี.. 
ก็คงยังดีที่ได้เกิดมาพบกัน..รักกัน..เมตตาต่อกัน
อย่างผู้รู้ตนรู้คุณค่าคำนิยามแสนงามนาม..ว่า..รักรักรัก...
.............
เขียนบทกลอนนี้นะนาทีที่นั่งในร่มไม้ในชายคาแห่งใบบุญห้อมค่ะ
หอมกุศลเข้าไปในกมลกับสายฝนพรำ..ในยามเช้าอันเงียบสงบงาม
ราวอยู่ในโลกแห่งความงามเงียบเรียบง่ายไร้ร่างไร้ตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่นค่ะ
..................

ต้นไม้ธรรมผลิดอกพราวราวรวงเพชร..

กุศลธรรมพบสงบพบร่มสุข
โลกรานรุกเร่าร้อนอ่อนแรงล้า
โลกเงียบงามตามติดดวงชีวา
โลกเหว่ว้าลอยห่างว่างมาแทน..

ตั้งใจนิ่งทิ้งสายโศกโลกภายนอก
แก้วใจบอกลอกลืมเศร้าใครหวงแหน
ไม่มีร่างไร้ตัวตนเงียบงามแทน
ลืมอ้อมแขนลืมอ้อมใจใครรักเรา

กลางสายฝนหยาดสายธารหวานธรรมะ
สอนสละใจร่างห่างโง่เขลา
หลงยึดมั่นรักมั่นฝันใฝ่เงา
ไม่มีเขาจับต้องได้คล้ายว่างใจ..

น้ำตาฝน น้ำตาฟ้า น้ำตาขวัญ
ซึมซึ้งกันกลางเรียวตาล้างใจใส
มองโลกสวยด้วยใจงามใต้ร่มใจ
ต้นไม้ใบออกดอกผลกุศลธรรม..

ต้นไม้ธรรมผลิดอกพราวราวรวงเพชร
น้อมนำเด็ดมาห่มใจไม่ชอกช้ำ
หอมกลางใจหอมนวลไยหอมอวลร่ำ
สวดมนต์พร่ำก้มลงกราบซาบซึ้งใจ

กลีบดอกไม้กลางใจสวยใสพร่าง
แก้วกระจ่างว่างวิเศษเนื้อใจใส
พร่ำภาวนาแผ่กุศลถึงดวงใจ
บุญแค่ไหนในชาตินี้ที่พบกัน

ร่มไม้รักร่มไม้บุญหมุนเราสอง
หวังประคองครองธรรมครองใจฝัน
กราบกับหมอนวอนพระพุทธทุกคืนวัน
หวังเธอฉันติดปีกฝันไปนิพพาน...
(ยากนักนะคะ..หากจักเพียรไม่ว่านานสักกี่กัปป์กัลป์)
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด